"บิ๊กทำเนียบฯ" เล็งเขี่ย"ประชาธิปัตย์" พ้นรัฐบาล หลังปล่อยส.ส.โหวตสวน-ด่ารัฐบาลไม่เลิก แถมทีมเศรษฐกิจไร้ทีมเวิร์ก เชื่อ"สายลุงกำนัน" ยังอยู่ร่วมกว่า 30 เสียง สะพัด! เปิดดีล"เพื่อไทย"ส่ง ส.ส. 20-30 คนมาเสียบแทน พร้อมมอบเก้าอี้รมต.ล่อใจ เผย"แกนนำพท."หอบดีลไปขอไฟเขียวจาก"นายใหญ่" ที่เกาะฮ่องกงแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎร ลงมติไม่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาผลกระทบจากประกาศ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ไปเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมี 10 เสียงส.ส.ฝ่ายค้าน มาช่วยเป็นองค์ประชุมแล้วนั้น แต่ในส่วนของ 6 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงมติเห็นด้วยให้ตั้ง กมธ.ดังกล่าว ยังคงลงมติยืนยันตามเดิม 4 ราย ประกอบด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นายเทพไท เสนพงศ์, นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ และ นายอันวาร์ สาและ ขณะที่นางกันตวรรณ ตันเถียร ส.ส.พังงา และ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุม แต่ไม่ออกเสียงลงมติ
เรื่องนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำระดับสูงของรัฐบาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้มีการกำชับกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ให้ควบคุมการลงมติของลูกพรรค ทั้งในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และในช่วงงานเลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 3 ธ.ค.แล้ว และมีการระบุด้วยว่า หากไม่สามารถควบคุมองค์ประชุมสภาฯ และควบคุมส.ส.รัฐบาลได้ ก็อาจจำเป็นต้องปรับครม. หรือ ยุบสภา
แต่ผลปรากฏว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังไม่สามารถควบคุม ส.ส.ในสังกัดได้ และไม่มีทีท่าว่าจะมีมาตรการลงโทษใดๆ ออกมา อีกทั้งยังปล่อยให้ ส.ส. และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นโจมตีรัฐบาลบ่อยครั้ง ที่สำคัญการทำงานของรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผ่านมา ก็ไม่เข้าขา และมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลหลายกรณี ทั้งในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจ รวมไปถึงกรณีการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร จึงเริ่มมีความเห็นพ้องกันของแกนนำระดับสูงในรัฐบาล ในการที่จะปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากรัฐบาลในการปรับครม.ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 63 หรือภายหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
"เชื่อว่าถ้าปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากรัฐบาล ก็จะยังมีส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 30 คน ยังอยู่ร่วมรัฐบาล ส.ส.กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตเลขาธิการ กปปส. ที่สนับสนุนให้ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ต้น" แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุ
แหล่งข่าวยังได้กล่าวถึงการแก้ปัญหา ไม่ให้กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยว่า เสียงที่อาจจะหายไป 20-30 เสียงนั้น จะทดแทนด้วยเสียงของ ส.ส.บางส่วน ของพรรคเศรษฐกิจใหม่ , พรรคอนาคตใหม่ , พรรคประชาชาติ และพรรคเพื่อชาติ รวมแล้วราว 10 เสียง จึงมีการประสานระหว่างแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไปยังผู้บริหารระดับสูงของพรรคเพื่อไทย ที่มีความคุ้นเคยกันเพื่อทาบทามให้นำส.ส.จำนวนหนึ่งราว 20-30 เสียง ทั้งที่มีการดูแล หรือฝากเลี้ยงไว้อยู่แล้ว รวมกับบางส่วนที่ไม่กังวลกระแสต่อต้านในพื้นที่ ให้เข้ามาแทนที่เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่ขาดหายไป โดยมีการเสนอตำแหน่งรัฐมนตรี และตำแหน่งอื่นในฝ่ายบริหารให้ตามสัดส่วนจำนวนส.ส.ที่เข้ามาร่วมกับรัฐบาลด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันว่า ในอนาคตอาจจะดึง ส.ส.เพื่อไทย เข้ามาช่วยงานรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น หากยังประสบปัญหาความไม่เข้าขากันของพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้นำประเด็นดังกล่าวไปหารือและขอความเห็นชอบจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เกาะฮ่องกง เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎร ลงมติไม่ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาผลกระทบจากประกาศ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ไปเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมี 10 เสียงส.ส.ฝ่ายค้าน มาช่วยเป็นองค์ประชุมแล้วนั้น แต่ในส่วนของ 6 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงมติเห็นด้วยให้ตั้ง กมธ.ดังกล่าว ยังคงลงมติยืนยันตามเดิม 4 ราย ประกอบด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นายเทพไท เสนพงศ์, นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ และ นายอันวาร์ สาและ ขณะที่นางกันตวรรณ ตันเถียร ส.ส.พังงา และ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุม แต่ไม่ออกเสียงลงมติ
เรื่องนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำระดับสูงของรัฐบาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้มีการกำชับกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ให้ควบคุมการลงมติของลูกพรรค ทั้งในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และในช่วงงานเลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 3 ธ.ค.แล้ว และมีการระบุด้วยว่า หากไม่สามารถควบคุมองค์ประชุมสภาฯ และควบคุมส.ส.รัฐบาลได้ ก็อาจจำเป็นต้องปรับครม. หรือ ยุบสภา
แต่ผลปรากฏว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังไม่สามารถควบคุม ส.ส.ในสังกัดได้ และไม่มีทีท่าว่าจะมีมาตรการลงโทษใดๆ ออกมา อีกทั้งยังปล่อยให้ ส.ส. และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นโจมตีรัฐบาลบ่อยครั้ง ที่สำคัญการทำงานของรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผ่านมา ก็ไม่เข้าขา และมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลหลายกรณี ทั้งในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจ รวมไปถึงกรณีการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร จึงเริ่มมีความเห็นพ้องกันของแกนนำระดับสูงในรัฐบาล ในการที่จะปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากรัฐบาลในการปรับครม.ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 63 หรือภายหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
"เชื่อว่าถ้าปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากรัฐบาล ก็จะยังมีส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 30 คน ยังอยู่ร่วมรัฐบาล ส.ส.กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตเลขาธิการ กปปส. ที่สนับสนุนให้ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ต้น" แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุ
แหล่งข่าวยังได้กล่าวถึงการแก้ปัญหา ไม่ให้กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยว่า เสียงที่อาจจะหายไป 20-30 เสียงนั้น จะทดแทนด้วยเสียงของ ส.ส.บางส่วน ของพรรคเศรษฐกิจใหม่ , พรรคอนาคตใหม่ , พรรคประชาชาติ และพรรคเพื่อชาติ รวมแล้วราว 10 เสียง จึงมีการประสานระหว่างแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไปยังผู้บริหารระดับสูงของพรรคเพื่อไทย ที่มีความคุ้นเคยกันเพื่อทาบทามให้นำส.ส.จำนวนหนึ่งราว 20-30 เสียง ทั้งที่มีการดูแล หรือฝากเลี้ยงไว้อยู่แล้ว รวมกับบางส่วนที่ไม่กังวลกระแสต่อต้านในพื้นที่ ให้เข้ามาแทนที่เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่ขาดหายไป โดยมีการเสนอตำแหน่งรัฐมนตรี และตำแหน่งอื่นในฝ่ายบริหารให้ตามสัดส่วนจำนวนส.ส.ที่เข้ามาร่วมกับรัฐบาลด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันว่า ในอนาคตอาจจะดึง ส.ส.เพื่อไทย เข้ามาช่วยงานรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น หากยังประสบปัญหาความไม่เข้าขากันของพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้นำประเด็นดังกล่าวไปหารือและขอความเห็นชอบจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เกาะฮ่องกง เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน