ฮื่ออ์อ์อ์...ต้องเรียกว่า เล่นเอา “ผงะ” ไปทั่วทั้งเกาะฮ่องกง หรือเผลอๆ...อาจถึงขั้นหงายหลังตกเก้าอี้ไปทั่วทั้ง “แผ่นดินใหญ่” เอาเลยก็ไม่แน่!!! สำหรับผลการเลือกตั้ง “สภาเขต” ของเกาะฮ่องกง เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (24 พ.ย.) ที่ผ่านมา คือถึงแม้เป็นแค่การเลือกตั้งระดับเขต ระดับท้องถิ่น หรือระดับ “อบต.” อะไรทำนองนั้น และอำนาจของสภาท้องถิ่นก็ไม่ได้ถึงกับกว้างขวางใหญ่โตอะไรมาก ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดตัดสินระบบการบริหาร จัดการโดยรวมในฮ่องกงสักเท่าไหร่นัก แต่การที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จัดอยู่ในฝ่าย “โปรประชาธิปไตย” ไม่ได้ “โปรปักกิ่ง” กวาดเก้าอี้มาได้ถึงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ จากที่นั่งในสภาฯ 479 ที่นั่ง ได้มาถึง 347 หรือเกือบ 400 ที่นั่ง งานนี้...เล่นเอาแทบหงายหลัง ตกเก้าอี้ กันไปเป็นแถบๆ...
พูดง่ายๆ ว่า...ผลการเลือกตั้งที่ออกมาในรูปนี้ คงทำให้ใครต่อใครหยิบมาพูดถึง กล่าวถึงกันไปอีกนาน ต้องวิเคราะห์เจาะลึก ต้องเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ การตั้งข้อสมมติฐาน และหาข้อสรุป ชนิดน่าปวดเศียรเวียนเกล้ากันไปอีกมิใช่น้อย หรืออาจลุกลามไปถึงผลที่อาจติดตามมาหลังจากนี้ ไม่ว่าเรื่องความเป็นเอกภาพของจีน ลักษณะพิเศษของการปกครองแบบ “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” การแทรกแซงกิจการภายในระหว่างสองอภิมหาอำนาจ ที่กำลังโรมรันพันตูกันในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงการทหาร ชนิดที่แทบหาข้อสรุป หาข้อยุติกันไม่เจอ ฯลฯ ซึ่งอะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...คงต้องว่าไปตามทางใคร-ทางมัน ก็แล้วกัน...
แต่เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาปวดหัวไปกับเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ทัศนคติ และค่านิยมทางสังคม ไม่ว่าโดยฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “ประชาธิปไตย” หรือ “เผด็จการคอมมิวนิสต์” ก็แล้วแต่ ที่ออกจะ “เถียงกันไม่จบ” มาโดยตลอด วันนี้...ก็เลยคงต้องขออนุญาตไปหยิบเอา “ข่าวเล็กๆ” ที่เป็นแค่เรื่องของ “มนุษย์” ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ซึ่งอาจไม่มีใครคิดหยิบมาพูดถึง กล่าวถึงมากมายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับข่าวใหญ่ ข่าวโต อย่างข่าวการเลือกตั้งในฮ่องกง ที่ก่อให้เกิดความฮือฮา ความปลาบปลื้มยินดี ระดับถือเป็น “การปฏิวัติ” ของบรรดาพวก “โปรประชาธิปไตย” หรือของบรรดา “กุมารฮ่องกง” ทั้งหลาย ที่ออกมาเรียกร้อง ปรารถนาและต้องการสิ่งเหล่านี้มาตลอดช่วงกว่า 6 เดือนผ่านมา แบบชนิดหัวไม่ตกเอาเลยแม้แต่น้อย...
นั่นก็คือ...ข่าวจาก “สำนักข่าวซินหัว” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งได้โปรยหัวข่าวเอาไว้ว่า “Men set on fire by Hong Kong protesters can’t recognize his own daughter after 10+ in coma” หรือผู้ที่ถูกผู้ประท้วงฮ่องกงจุดไฟเผา ไม่สามารถจำได้แม้แต่ลูกสาวตัวเอง หลังฟื้นจากอาการโคม่าในช่วงกว่า 10 วันที่ผ่านมา อะไรประมาณนั้น โดยในรายละเอียดในเนื้อข่าว ว่าเอาไว้ดังนี้... “ชายชาวจีนที่ถูกราดน้ำมันและจุดไฟเผา โดยผู้ก่อการจลาจลในฮ่องกง อันสร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งโลกโซเชียล มีเดีย ได้ฟื้นจากอาการโคม่า หลังผ่านไปกว่า 10 วัน แต่ความเจ็บปวดจากทางร่างกายและจิตใจของเขาก็ยังคงดำรงอยู่...”
ต่อไปอีกว่า... “ชายที่เป็นคนงานก่อสร้างรายนี้ ผู้จำได้แค่ว่า ชื่อสกุลของตัวเองคือ Lee ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทกับบรรดาผู้ประท้วงในฮ่องกง ที่กำลังก่อความวุ่นวายแถบสถานีรถไฟฟ้าใน Ma On Shan พื้นที่ใจกลางเกาะฮ่องกง เมื่อช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อคำพูดของเขาที่พยายามย้ำแล้วย้ำอีก ต่อบรรดาผู้ประท้วงว่า...เราต่างก็เป็นคนจีนด้วยกัน ผู้ก่อการจลาจลจึงสาดน้ำมันใส่เขาแล้วจุดไฟเผา ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ที่ยืนมองอยู่รอบๆ...”
รายงานข่าวบอกต่อไปอีกว่า... “Lee ได้รับความเจ็บปวดอย่างสุดแสนสาหัส จากบาดแผลที่ถูกไฟครอกเกือบครึ่งหนึ่งของร่างกาย และใช้เวลากว่า 10 วันในการดูแลเอาใจใส่โดยละเอียด ระหว่างที่อยู่ในอาการโคม่า และการส่งตัวไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายผิวหนัง ในศูนย์บำบัดพิเศษสำหรับผู้ถูกไฟไหม้ดูแลต่อไป ร่างกายส่วนใหญ่ของเขาถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลจากการถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง แพทย์ยังคงเฝ้าระวังและรอคอยการฟื้นฟูให้คืนสู่ภาวะปกติ ซึ่งยังคงไม่มีความแน่นอนโดยเฉพาะการปลูกถ่ายผิวหนังซึ่งอาจถูกร่างกายปฏิเสธ โดยเขาเลี่ยงไม่พ้นต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากกระบวนการดูแล รักษา ไปอีกนาน...”
บอกต่อไปอีกว่า... “แต่ไม่ใช่เฉพาะแค่อาการบาดเจ็บทางร่างกายเท่านั้น ตามที่ภรรยาของเขาได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซินหัว Lee ยังคงมีอาการจดจำอะไรแทบไม่ได้แม้กระทั่งลูกสาวตัวเอง และยังรู้สึกเจ็บช้ำทรมานทางความรู้สึก ต่อการถูกเล่นงานโดยกลุ่มผู้ประท้วง ที่เขาไม่เคยรู้จักมักจี่และไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองใดๆ มาก่อนเลย สำหรับฉัน...เขาพอจำได้ ภรรยาของ Lee กล่าว แต่เมื่อไหร่ที่มีคนอื่นเข้ามาเยี่ยมเยียนดูแลอาการ เขาก็จะแสดงอาการหวาดกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับเขาคิดว่ายังมีใครคิดจะตามมาเล่นงานเขาอีก...”
สำนักข่าวซินหัว รายงานต่อไปอีกว่า... “ภรรยาของ Lee ยังพยายามหาคำอธิบายและทำความเข้าใจไม่ได้ว่า เหตุใดสามีของเธอถึงต้องตกเป็นเหยื่ออันน่าสยดสยองคราวนี้ เธอกล่าวว่า...ปกติแล้ว เขาไม่เคยคิดจะต่อล้อ ต่อเถียงกับใครตามถนนหนทางเลย ฉันคิดเอาเองว่า...เขาคงไม่อยากให้ใครทำลายสถานีรถไฟฟ้า ที่เขามีส่วนในการก่อสร้างอยู่ด้วย ภรรยาผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยนามของ Lee เพราะกลัวจะถูกใครที่ไม่พอใจตามมาเล่นงาน บอกถึงอารมณ์ความรู้สึกของเธอว่า...แทบหัวใจสลายและไม่อยากจะยอมรับความจริง ต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วกับสามีของเธอ และพยายามกล่าวย้ำว่า...จริงๆ แล้วสามีของเธอเป็นคนดีคนหนึ่ง แม้ว่าสิ่งแรกๆ ที่เขามักเตือนเธอหลังตื่นนอน ว่าให้ระมัดระวังตัวเวลาออกไปไหนต่อไหน ด้วยเหตุผลที่ว่า...เพราะพวกผู้ประท้วงในเกาะฮ่องกงนั้น ไม่ได้รู้สึกเห็นอก เห็นใจมนุษย์มนาสักเท่าไหร่นัก...” โดยสำนักข่าวซินหัวได้สรุปไว้ในช่วงท้ายข่าวประมาณว่า... “แม้ชาวฮ่องจำนวนไม่น้อย จะส่งเงินบริจาคและจดหมายมาให้กำลังใจ แต่ด้วยเหตุที่คนงานก่อสร้างอย่าง Lee คือผู้ที่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด ทำให้ภรรยาและลูกสาวของ Lee อดไม่ได้ที่จะต้องตกอยู่ในความตึงเครียดไปอีกนานเท่านาน...”
ข่าวที่ว่านี้...แม้ไม่ต้องเสียเวลาปวดหัวกับการวิเคราะห์เจาะลึกแบบบรรดา “ข่าวการเมือง” มากมายสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเก็บเอามาคิดๆ ให้ลึกๆ ลงไปแล้ว ก็อาจพอได้คำตอบ คำอธิบายถึงฉากสถานการณ์ความเป็นไปทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไม่ว่าในที่ไหนๆ หรือสังคมไหนๆ ได้ไม่น้อยเพราะไม่ว่า “การเมือง” ในรูปใด แบบใด ก็แล้วแต่ สิ่งที่มันน่าจะอยู่เหนือไปกว่าชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ทางการเมือง ก็คือ “คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์” นั่นเอง โดยไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามที่มองข้าม หรือมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่น่าจะมีคุณค่า ราคา ให้ต้องเก็บเอามาคิดมาก หรือคิดเล็ก คิดน้อยใดๆ เลย...