ผู้จัดการรายวัน 360 – “มนัญญา” รุกปิดเกมแบน 3 สารพิษ เชิญ “ผู้ส่งออก- นำเข้า” หารือ จี้เก็บคืนสารจากท้องตลาด-เกษตรกร หาแนวทางส่งออกพ้นแผ่นดินไทย วอนทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเร่งด่วน พร้อมเรียก “สารวัตรเกษตร” ประชุมเพื่อทำความเข้าใจเกษตรกร หวั่นถูกจับ-ปรับหลังแรอ่มแบน 3 สารเคมี เผยตรวจเด็ก นร.เชียงราย นับร้อยพบสารตกค้างในกระแสเลือด
วานนี้ (17 พ.ย.) น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มีหนังสือเชิญ 3 สมาคมผู้ส่งออก-นำเข้า 3 สารเคมี ประกอบด้วย พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต มาประชุมในวันที่ 21 พ.ย. ที่กระทรวงเกษตรฯ ภายหลังที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน และขึ้นทะเบียนทั้ง 3 สารเคมี เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.62 เพื่อหารือถึงมาตรการรับคืนสารเคมีจากประชาชน เกษตรกร และการส่งออก 3 สารเคมี โดยตนในฐานะที่กำกับดูแลกรมวิชาการเกษตร พร้อมที่จะลงนามในหนังสือส่งออก 3 สารไปประเทศที่ 3 หรือประเทศต้นทาง เพราะหากยังใช้สารเคมีอันตรายคาดว่าอนาคตประเทศไทยจะไม่มีคนทำการเกษตร เนื่องจากจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และดินเสียจากสารตกค้างในดิน
“ในวันที่ 21 พ.ย. นี้ ดิฉันมีหนังสือเชิญและขอประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อไปเลยว่า ให้บริษัทเหล่านั้น มาประชุมเพื่อจะได้มีกำหนดแนวทางการรับคืนสารเคมี จากเกษตรกร จากร้านผู้แทนจำหน่าย รวมทั้งการส่งออกกลับไปประเทศอื่น หรือประเทศต้นทาง หากวันนั้นไม่มา แสดงว่า บริษัทเหล่านั้นไม่เดือดร้อน ไม่มีสารเคมีอันตรายทั้ง 3 สาร ในมือในสต๊อกแล้ว เพราะหลัง 1 ธ.ค.62 ที่มติมีผลบังคับใช้ต้องไม่มีสารเหล่านี้ในประเทศไทยอีก และสารเคมีเหล่านั้นเป็นภาระบริษัทเอกชนที่นำเข้า ต้องรับผิดชอบในการนำกลับรีเอ็กพอร์ตกลับไป หรือการทำลายตามกฎหมาย และไม่สามารถเอาเงินหลวงไปใช้ได้ ดิฉันยืนยันว่าเป็นภาระของบริษัทที่จะต้องนำกลับคืนตามกฎหมายเท่านั้น ใครใช้เงินหลวงไปรับทำลายต้องติดคุก” น.ส.มนัญญากล่าว
รมช.เกษตรฯ เปิดเผยด้วยว่า นอกจากนั้นในวันที่ 22 พ.ย. จะมีการประชุมสารวัตรเกษตรทั่วประเทศ 300 กว่าคนเพื่อรับทราบแนวทางในการลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับเกษตรกรและประชาชนที่มีสารทั้ง 3 ตัวในครอบครองว่าต้องไปส่งคืนบริษัทหรือร้านค้าหรือเอเยนต์อย่างไร เพราะวันที่ 1 ธ.ค. 62 สารเคมีทั้ง 3 ตัวผิดกฎหมายและโทษหนัก
“เราไม่เสียเวลารอกระทรวงอื่นแล้วว่าจะมีท่าทีอะไรต่อ 3 สารเคมี เพราะ 1 ธ.ค.62 หากเกษตรกรเราไม่ทราบ โทษตามกฎหมายหนักจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับเป็นแสนเป็นล้าน ดิฉันไม่อยากให้มีภาพเกษตรกรของเราโดนตรวจจับ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงให้เรียกประชุมสารวัตรเกษตร จะได้รับทราบทิศทางเดียวและลงพื้นที่แจ้งเตือนประชาชนทันที” น.ส.มนัญญากล่าว
รมช.เกษตรฯกล่าวต่อว่า ภายหลังลงที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติแบน 3 สารเคมี ได้ลงพื้นที่ไปหลายจังหวัดก็พบว่า ในพื้นที่ต่างแสดงความขอบคุณที่ผลักดันเรื่องนี้เพราะเกษตรกรทราบดีว่าสารอันตรายและหลายครอบครัวต้องสูญเสียคนในครอบครัว คนที่ตนเองรักไปก่อนวัยอันควรจากการทำการเกษตรที่ใช่สารเคมีอันตราย และในบางพื้นที่พบว่ามีสารพิษในเลือดของคนในชุมชนที่ทำการเกษตรแบบใช้สารเคมี เช่น จากการตรวจเลือดของนักเรียน 130 คนใน จ.เชียงราย พบว่ามี 95 คนที่มีสารตกค้างในเลือด ซึ่งเห็นว่าปริมาณสารพิษปนเปื้อนในอาหารและสิ่งแวดล้อม มีมากขึ้นอย่างน่าตกใจซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ เป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน
วานนี้ (17 พ.ย.) น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มีหนังสือเชิญ 3 สมาคมผู้ส่งออก-นำเข้า 3 สารเคมี ประกอบด้วย พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต มาประชุมในวันที่ 21 พ.ย. ที่กระทรวงเกษตรฯ ภายหลังที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน และขึ้นทะเบียนทั้ง 3 สารเคมี เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.62 เพื่อหารือถึงมาตรการรับคืนสารเคมีจากประชาชน เกษตรกร และการส่งออก 3 สารเคมี โดยตนในฐานะที่กำกับดูแลกรมวิชาการเกษตร พร้อมที่จะลงนามในหนังสือส่งออก 3 สารไปประเทศที่ 3 หรือประเทศต้นทาง เพราะหากยังใช้สารเคมีอันตรายคาดว่าอนาคตประเทศไทยจะไม่มีคนทำการเกษตร เนื่องจากจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และดินเสียจากสารตกค้างในดิน
“ในวันที่ 21 พ.ย. นี้ ดิฉันมีหนังสือเชิญและขอประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อไปเลยว่า ให้บริษัทเหล่านั้น มาประชุมเพื่อจะได้มีกำหนดแนวทางการรับคืนสารเคมี จากเกษตรกร จากร้านผู้แทนจำหน่าย รวมทั้งการส่งออกกลับไปประเทศอื่น หรือประเทศต้นทาง หากวันนั้นไม่มา แสดงว่า บริษัทเหล่านั้นไม่เดือดร้อน ไม่มีสารเคมีอันตรายทั้ง 3 สาร ในมือในสต๊อกแล้ว เพราะหลัง 1 ธ.ค.62 ที่มติมีผลบังคับใช้ต้องไม่มีสารเหล่านี้ในประเทศไทยอีก และสารเคมีเหล่านั้นเป็นภาระบริษัทเอกชนที่นำเข้า ต้องรับผิดชอบในการนำกลับรีเอ็กพอร์ตกลับไป หรือการทำลายตามกฎหมาย และไม่สามารถเอาเงินหลวงไปใช้ได้ ดิฉันยืนยันว่าเป็นภาระของบริษัทที่จะต้องนำกลับคืนตามกฎหมายเท่านั้น ใครใช้เงินหลวงไปรับทำลายต้องติดคุก” น.ส.มนัญญากล่าว
รมช.เกษตรฯ เปิดเผยด้วยว่า นอกจากนั้นในวันที่ 22 พ.ย. จะมีการประชุมสารวัตรเกษตรทั่วประเทศ 300 กว่าคนเพื่อรับทราบแนวทางในการลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับเกษตรกรและประชาชนที่มีสารทั้ง 3 ตัวในครอบครองว่าต้องไปส่งคืนบริษัทหรือร้านค้าหรือเอเยนต์อย่างไร เพราะวันที่ 1 ธ.ค. 62 สารเคมีทั้ง 3 ตัวผิดกฎหมายและโทษหนัก
“เราไม่เสียเวลารอกระทรวงอื่นแล้วว่าจะมีท่าทีอะไรต่อ 3 สารเคมี เพราะ 1 ธ.ค.62 หากเกษตรกรเราไม่ทราบ โทษตามกฎหมายหนักจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับเป็นแสนเป็นล้าน ดิฉันไม่อยากให้มีภาพเกษตรกรของเราโดนตรวจจับ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงให้เรียกประชุมสารวัตรเกษตร จะได้รับทราบทิศทางเดียวและลงพื้นที่แจ้งเตือนประชาชนทันที” น.ส.มนัญญากล่าว
รมช.เกษตรฯกล่าวต่อว่า ภายหลังลงที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติแบน 3 สารเคมี ได้ลงพื้นที่ไปหลายจังหวัดก็พบว่า ในพื้นที่ต่างแสดงความขอบคุณที่ผลักดันเรื่องนี้เพราะเกษตรกรทราบดีว่าสารอันตรายและหลายครอบครัวต้องสูญเสียคนในครอบครัว คนที่ตนเองรักไปก่อนวัยอันควรจากการทำการเกษตรที่ใช่สารเคมีอันตราย และในบางพื้นที่พบว่ามีสารพิษในเลือดของคนในชุมชนที่ทำการเกษตรแบบใช้สารเคมี เช่น จากการตรวจเลือดของนักเรียน 130 คนใน จ.เชียงราย พบว่ามี 95 คนที่มีสารตกค้างในเลือด ซึ่งเห็นว่าปริมาณสารพิษปนเปื้อนในอาหารและสิ่งแวดล้อม มีมากขึ้นอย่างน่าตกใจซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ เป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน