ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าใดนัก ที่ผลสำรวจ “ชูเปอร์โพล”ที่เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดต่อความเห็นของประชาชนต่อโครงการ “ชิมช้อบใช้”ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา โดยสำรวจประชาชนสองกลุ่มใหญ่ คือ ประชาชนในสังคมดั้งเดิม กับเสียงประชาชนในโลกโซเชียลฯ ผลก็ออกมาว่า ในกลุ่มสังคมดั้งเดิมมีมากกว่าร้อยละ 60 ได้เข้าใช้ประโยชน์ จากโครงการ และเมื่อแบ่งแยกย่อยออกไปเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล กลุ่มพลังเงียบ และกลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล ก็พบว่าทั้งสามกลุ่มได้ใช้ประโยชน์จากมาตรการ ชิมช้อปใช้เป็นส่วนใหญ่ นั่นคือ ร้อยละ 69.6 ของคนที่สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 62.7 ของพลังเงียบ และ ร้อยละ 52.0 ของคนไม่สนับสนุนรัฐบาล ได้ใช้ประโยชน์จากโครงการชิมช้อปใช้ ของรัฐบาล
ส่วนการวิเคราะห์เสียงของประชาชนในโลกโซเชียลฯ ก็ปรากฏว่า มีเสียงตอบรับในทางบวก ร้อยละ 67.8 ส่วนในทางลบแค่ ร้อยละ 32.2 ซึ่งเจ้าสำนักที่ทำโพลอย่าง ดร.นพดล กรรณิกา ยังชี้ว่าในทางการเมืองถือว่าเป็นผลสำเร็จที่สามารถช่วงชิงมวลชนมาได้ ขณะที่ในทางเศรษฐศาสตร์ ต้องมาว่ากันอีกทีหลังจากนี้
เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจดังกล่าวก็ไม่ได้แปลกใจกับเสียงกระหน่ำโจมตีของบรรดาพรรคฝ่ายค้าน ที่พยายามชี้ให้เห็นว่าไร้ประโยชน์ หรือ “เอื้อนายทุน”หรือ“ทุนใหญ่” สารพัด แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะแกนนำจากพรรคเพื่อไทย อย่างเช่น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่มักให้
ความเห็นอย่างระมัดระวัง โดยย้ำว่า “ไม่ได้ค้านโครงการ แต่เห็นว่าเป็นการโอนเงินเข้ากระเป๋าของนายทุน หรือกลุ่มทุนใหญ่ได้ประโยชน์”อะไรประมาณนั้น
ความหมายก็คือ เธอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะหากคัดค้านก็เท่ากับว่าไปขัดขวางไม่ให้ชาวบ้านได้เงินเพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อของจำเป็น หรือนำไปจับจ่ายอื่นๆ หรือไม่ก็หากนิ่งเฉยไม่พูดอะไรเลย ก็เท่ากับว่าปล่อยให้รัฐบาลตักตวงความดีความชอบ ได้คะแนนเสียงไปเป็นกอบเป็นกำเสียอีก เลยกลายเป็นว่า ทำได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจดังกล่าวย่อมได้รับข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจก็คือจำนวนตัวเลขของกลุ่มชาวบ้านที่ “ไม่หนุนรัฐบาล”ไม่เอา “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาก่อน ที่มีจำนวนถึงกว่าร้อยละ 52 ที่ใช้ประโยชน์จากโครงการ “ชิมช้อปใช้”แม้ว่าในจำนวนสัดส่วนดังกล่าว ยังมีจำนวนที่ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนใจหรือยังหลังจากที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ อาจเป็นเพราะใช้ เพราะเห็นว่าเป็นเงินจากงบประมาณ เป็นของรัฐบาล เป็นเงินของชาวบ้านทุกคนอยู่แล้ว ถ้าตัวเองไม่ใช้คนอื่นก็จะใช้อยู่ดี อาจคิดแบบนี้ก็ได้
แต่เอาเถอะยังเชื่อว่าในจำนวนเกินกว่าร้อยละ 50 ย่อมต้องมีความหวั่นไหวในใจบ้างแน่นอน เหมือนกับความหมายของ “หินผา”ที่ไม่ว่าจะแกร่งแค่ไหน แต่เมื่อเจอกับน้ำที่หยดลงทุกวันบ่อยๆเข้า ก็ต้องกร่อนเป็นธรรมดา
**จะว่าไปแล้ว โครงการ “ชิมช้อปใช้”มันก็เหมือนกับโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้ได้ใจ กับ “คนชั้นกลาง” คนรุ่นใหม่ที่ใช้ “สมาร์ทโฟน”หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ปล่อยบัตร “สวัสดิการแห่งรัฐ”ที่มัดใจชาวบ้านระดับล่างที่มีรายได้น้อย ทั่วประเทศไปแล้ว ชนิดที่โอนเงินเข้าบัญชีรายเดือน
ขณะเดียวกันเวลานี้กำลังปล่อยโครงการ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย”และเที่ยววันธรรมดาราคาสุดช็อก ตามมาอีก ซึ่งตามรายงานก็ระบุว่า ก็ได้รับความนิยม มีชาวบ้านแห่กันลงทะเบียนเพียงแค่ 4 นาทีแรก ยอดก็เต็มตามเป้าแล้ว แม้ว่าเป้าหมายที่ประกาศเอาไว้ คือ มาตรการกระจายเงินลงไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศในระยะสั้น เพื่อบรรเทาผล กระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า จากภายนอก แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “มัดใจ”หาเสียงกับชาวบ้านควบคู่กันไปด้วยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองสำหรับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นาทีนี้ถือว่าได้แต้มเป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ฝ่ายค้านยังไม่เป็นโล้เป็นพาย มัวสาละวนอยู่กับเรื่องเก่าๆไม่ยอมไปข้างหน้า ยังฝังใจอยู่กับเรื่องความแค้นเก่าๆไม่จบสิ้น หรือคิดทำในสิ่งที่ห่างไกลจากความต้องการของชาวบ้าน เช่น เรื่องการซักฟอกรัฐบาลในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งที่ยังมองไม่เห็นเรื่องการทุจริตที่ชัดเจน หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน เหมือนกับเรื่องที่เป็นปัญหาปากท้องรายวัน
** ดังนั้นอย่าได้แปลกใจ เมื่อสถานการณ์และบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะการที่ฝ่ายรัฐบาลได้ใจมวลชนเข้ามาเพิ่มเติมจากมาตรการโครงการ “ชิมช้อปใช้” รวมไปถึงโครงการใหม่ที่ทยอยตามมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาเรื่องการทุจริตที่เป็นเรื่องจะแจ้งยังมองไม่เห็น ขณะที่ฝ่ายค้านเวลานี้มัวแต่แก้ปัญหาภายในของตัวเอง หรือบางพรรค เช่น พรรคเพื่อไทย แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวที่มีพลัง ทำให้ประสิทธิภาพในการตรวจสอบอ่อนด้อยลงไปอย่างผิดสังเกต ทำให้ทุกอย่างเข้าทาง “ลุงตู่”อย่างน้อยก็ในช่วงระยะอันใกล้นี้ !!
ส่วนการวิเคราะห์เสียงของประชาชนในโลกโซเชียลฯ ก็ปรากฏว่า มีเสียงตอบรับในทางบวก ร้อยละ 67.8 ส่วนในทางลบแค่ ร้อยละ 32.2 ซึ่งเจ้าสำนักที่ทำโพลอย่าง ดร.นพดล กรรณิกา ยังชี้ว่าในทางการเมืองถือว่าเป็นผลสำเร็จที่สามารถช่วงชิงมวลชนมาได้ ขณะที่ในทางเศรษฐศาสตร์ ต้องมาว่ากันอีกทีหลังจากนี้
เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจดังกล่าวก็ไม่ได้แปลกใจกับเสียงกระหน่ำโจมตีของบรรดาพรรคฝ่ายค้าน ที่พยายามชี้ให้เห็นว่าไร้ประโยชน์ หรือ “เอื้อนายทุน”หรือ“ทุนใหญ่” สารพัด แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะแกนนำจากพรรคเพื่อไทย อย่างเช่น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่มักให้
ความเห็นอย่างระมัดระวัง โดยย้ำว่า “ไม่ได้ค้านโครงการ แต่เห็นว่าเป็นการโอนเงินเข้ากระเป๋าของนายทุน หรือกลุ่มทุนใหญ่ได้ประโยชน์”อะไรประมาณนั้น
ความหมายก็คือ เธอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะหากคัดค้านก็เท่ากับว่าไปขัดขวางไม่ให้ชาวบ้านได้เงินเพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อของจำเป็น หรือนำไปจับจ่ายอื่นๆ หรือไม่ก็หากนิ่งเฉยไม่พูดอะไรเลย ก็เท่ากับว่าปล่อยให้รัฐบาลตักตวงความดีความชอบ ได้คะแนนเสียงไปเป็นกอบเป็นกำเสียอีก เลยกลายเป็นว่า ทำได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจดังกล่าวย่อมได้รับข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจก็คือจำนวนตัวเลขของกลุ่มชาวบ้านที่ “ไม่หนุนรัฐบาล”ไม่เอา “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาก่อน ที่มีจำนวนถึงกว่าร้อยละ 52 ที่ใช้ประโยชน์จากโครงการ “ชิมช้อปใช้”แม้ว่าในจำนวนสัดส่วนดังกล่าว ยังมีจำนวนที่ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนใจหรือยังหลังจากที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ อาจเป็นเพราะใช้ เพราะเห็นว่าเป็นเงินจากงบประมาณ เป็นของรัฐบาล เป็นเงินของชาวบ้านทุกคนอยู่แล้ว ถ้าตัวเองไม่ใช้คนอื่นก็จะใช้อยู่ดี อาจคิดแบบนี้ก็ได้
แต่เอาเถอะยังเชื่อว่าในจำนวนเกินกว่าร้อยละ 50 ย่อมต้องมีความหวั่นไหวในใจบ้างแน่นอน เหมือนกับความหมายของ “หินผา”ที่ไม่ว่าจะแกร่งแค่ไหน แต่เมื่อเจอกับน้ำที่หยดลงทุกวันบ่อยๆเข้า ก็ต้องกร่อนเป็นธรรมดา
**จะว่าไปแล้ว โครงการ “ชิมช้อปใช้”มันก็เหมือนกับโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้ได้ใจ กับ “คนชั้นกลาง” คนรุ่นใหม่ที่ใช้ “สมาร์ทโฟน”หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ปล่อยบัตร “สวัสดิการแห่งรัฐ”ที่มัดใจชาวบ้านระดับล่างที่มีรายได้น้อย ทั่วประเทศไปแล้ว ชนิดที่โอนเงินเข้าบัญชีรายเดือน
ขณะเดียวกันเวลานี้กำลังปล่อยโครงการ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย”และเที่ยววันธรรมดาราคาสุดช็อก ตามมาอีก ซึ่งตามรายงานก็ระบุว่า ก็ได้รับความนิยม มีชาวบ้านแห่กันลงทะเบียนเพียงแค่ 4 นาทีแรก ยอดก็เต็มตามเป้าแล้ว แม้ว่าเป้าหมายที่ประกาศเอาไว้ คือ มาตรการกระจายเงินลงไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศในระยะสั้น เพื่อบรรเทาผล กระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า จากภายนอก แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “มัดใจ”หาเสียงกับชาวบ้านควบคู่กันไปด้วยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองสำหรับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นาทีนี้ถือว่าได้แต้มเป็นกอบเป็นกำ ขณะที่ฝ่ายค้านยังไม่เป็นโล้เป็นพาย มัวสาละวนอยู่กับเรื่องเก่าๆไม่ยอมไปข้างหน้า ยังฝังใจอยู่กับเรื่องความแค้นเก่าๆไม่จบสิ้น หรือคิดทำในสิ่งที่ห่างไกลจากความต้องการของชาวบ้าน เช่น เรื่องการซักฟอกรัฐบาลในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งที่ยังมองไม่เห็นเรื่องการทุจริตที่ชัดเจน หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน เหมือนกับเรื่องที่เป็นปัญหาปากท้องรายวัน
** ดังนั้นอย่าได้แปลกใจ เมื่อสถานการณ์และบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะการที่ฝ่ายรัฐบาลได้ใจมวลชนเข้ามาเพิ่มเติมจากมาตรการโครงการ “ชิมช้อปใช้” รวมไปถึงโครงการใหม่ที่ทยอยตามมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาเรื่องการทุจริตที่เป็นเรื่องจะแจ้งยังมองไม่เห็น ขณะที่ฝ่ายค้านเวลานี้มัวแต่แก้ปัญหาภายในของตัวเอง หรือบางพรรค เช่น พรรคเพื่อไทย แทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวที่มีพลัง ทำให้ประสิทธิภาพในการตรวจสอบอ่อนด้อยลงไปอย่างผิดสังเกต ทำให้ทุกอย่างเข้าทาง “ลุงตู่”อย่างน้อยก็ในช่วงระยะอันใกล้นี้ !!