ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ชัดชัดจาก “พุทธะอิสระ”คืนผ้าเหลือง “โลกไม่ให้ช้ำ ธรรมก็ต้องไม่เสีย”ลั่นต้องไม่สร้างประเด็น ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในทางโลกและทางธรรม จะกลับไปขอบรรพชา อุปสมบทใหม่อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อคดีกบฏจบลงแล้ว
กรณี“พุทธะอิสระ”ลั่นวาจาจะกลับมาคืนสู่ผ้าเหลือง และมีประเด็นให้ขบคิดกัน โดย“เปลว สีเงิน”ของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนไว้เมื่อวันก่อน เพจ หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)โพสต์เมื่อ วานนี้ (30ต.ค.) ระบุว่า ขอบคุณในน้ำใจของคุณโรจน์ งามแม้น (นามปากกา เปลวสีเงิน) ที่ยังระลึกถึงกันอยู่ โดยเฉพาะข้อเขียนท้ายบทความ คุณเปลวสีเงิน ได้ฝากความปรารถนาดี ชี้แนะมาว่า “หลวงปู่พ้นโทษคุกก็จริง แต่ทางคดีถือว่าได้ทำผิด ทั้งรับสารภาพ ในทางสงฆ์บอกว่าหลวงปู่ยังดำรงภิกษุภาวะ ผมก็สาธุ แต่ทางโลกผมเกรงจะเกิดครหา เพื่อตัดบ่วงมารที่จะตามราวีภายหลัง ๕ ธันวา หลวงปู่กล่าวคำขอบวชใหม่ จะสบายใจทั้งสงฆ์-ทั้งชาวบ้าน นี่คือความเห็นผม”
ขอบคุณในน้ำใจที่ยังห่วงใยกันเสมอ ข้อชี้แนะของกัลยาณมิตรที่ดีอย่าง "ลุงเปลว" มีหรือ "พุทธะอิสระ" จักเมินเฉย เรื่องนี้คิดอยู่ในใจไว้เหมือนกันว่า การกลับมาห่มผ้าเหลืองของพุทธะอิสระในครั้งนี้ จักต้องไม่สร้างประเด็น ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในทางโลกและทางธรรม
"พุทธะอิสระ" จึงได้แจ้งในที่ประชุมสงฆ์ที่ผ่านมาว่า หากพุทธะอิสระจักกลับมาห่มผ้าเหลืองใหม่อีกครั้งครานี้นั้น กฎหมายในอาณาจักรก็ต้องถือปฏิบัติ พระธรรมวินัยก็ต้องรักษา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า... "โลกก็ไม่ให้ซ้ำ ธรรมก็ต้องไม่เสีย"
ยิ่งมาได้เห็นน้ำจิต น้ำใจของกัลยาณมิตรอย่าง "ลุงเปลว" ที่สู้อุตส่าห์เขียนบทความมาชี้แนะมาด้วยความห่วงใย พุทธะอิสระ ยิ่งต้องมิอาจทำให้ความปรารถนาดีของท่านทั้งหลายต้องพลันมลาย เพราะความเห็นแก่ตัว
เพื่อให้ทุกคนสบายใจอย่างที่ "ลุงเปลว" ว่า..."พุทธะอิสระ" จักกลับไปขอบรรพชา อุปสมบทใหม่อีกครั้ง แต่ก็ต่อเมื่อคดีกบฏจบลงแล้ว หวังว่าทุกท่านที่ห่วงใย คงสบายใจขึ้นบ้าง
ส่วนเรื่องความปรารถนาของโยมแม่ที่ป่วยนอนติดเตียง ต้องการจักเห็นพุทธะอิสระกลับไปนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก่อนที่ท่านจักตาย ก็คงต้องพยายามประคับประคอง ยืดอายุขัยของท่าน มิให้แม่ต้องเป็นอะไรไปเสียก่อนที่คดีกบฏ จะยุติลง เพื่อเราจักได้กลับไปห่มผ้าเหลืองให้ท่านได้เห็นก่อนตาย ... ส่วนเรื่องความรู้สึก ความปรารถนาดีของญาติโยม คงจักพอเข้าใจได้ พวกเขาเฝ้ารอให้เรากลับไปห่มผ้าเหลืองมาเป็นปี หากจักขอให้รอไปอีกซักปี ครึ่งปี พวกเขาคงจักรอได้ ขอบคุณทุกท่านที่หวังดี...ลงชื่อ พุทธะอิสระ
ต้องบอกว่า “ชัดเจน”โดยไม่ต้องดรามา หรือถกเถียงกันต่อ เพราะก่อนหน้านี้ จากที่"หลวงปู่พุทธะอิสระ" ได้โพสต์ ตามด้วยการประชุมสงฆ์ ที่วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) จ.นครปฐม โดยเปลวสีเงินสรุปใจความไว้ว่า "...สิ้นเดือนตุลาคมนี้ ก็สิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติ ในคำพิพากษาคดีทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะชุมนุมด้วย เพราะเวลาเจ้าหน้าที่กองปราบมาจับ แล้วส่งฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่กองปราบได้นิมนต์หลวงพ่อ เจ้าคณะเขต เจ้าอาวาสวัดเสมียนนารี และเลขาฯ มาทำหน้าที่สึก "พุทธะอิสระ" ได้กราบเรียนหลวงพ่อผู้คุ้นเคยกันไปว่า กระผมมิได้ละเมิดต่ออาบัติร้ายแรงจนทำให้ขาดจากความเป็นพระ ผมจึงไม่ยินดีกล่าวคำลาสิกขา ครั้นออกจากคุกมาแล้ว จึงตั้งใจว่า จักกลับมาห่มผ้าจีวรอีก
พอดีมหาเถรสมาคม ออกกฎขึ้นมาใหม่ว่า ภิกษุผู้ต้องโทษอยู่ในขณะคุมความประพฤติของทางราชการ ห้ามกลับเข้ามาบวชอีกจนกว่าจักหมดเวลาคุมความประพฤติ (ตามหมวด ๓ ว่าด้วยหน้าที่พระอุปัชฌาย์ กฎ มส.๑๗) ซึ่งกรณีของ "พุทธะอิสระ" จักสิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติลงในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ เหตุนี้ จึงกำหนดเวลากลับไปห่มผ้าไตรจีวร ในวันที่ ๕ ธันวาคม เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่องค์พ่อหลวง ร.๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง"
ต่อมา เมื่อ ๒๗ ตุลาฯ ที่วัดอ้อน้อย นครปฐม มีพิธีกรรม พระสงฆ์วัดต่างๆในเขตนั้นมาประชุมกัน พร้อมชาวบ้านจำนวนมาก "พุทธะอิสระ" หรือ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ในชุดขาว รายงานถึงเรื่องราวทั้งหมดแต่ต้นจนถึงถูกจับ จากนั้นขอให้หมู่สงฆ์พิจารณา และออกฉันทามติ ยอมรับว่า "ภิกษุภาวะ" ของพุทธะอิสระ ยังดำรงอยู่หรือไม่ ? และมีความเห็นอย่างไร ... กลับมาครองจีวรตามเดิมเลย หรือควรให้กล่าวคำขอบวชใหม่ ? คณะสงฆ์แสดงความเห็นและลงมติ รับรองความเป็นพระของ พุทธะอิสระ แต่พุทธะอิสระ เกรงจะเกิดข้อครหาภายหลัง เน้นย้ำให้หมู่สงฆ์พิจารณาให้ถ้วนถี่อีกที สุดท้ายแล้ว หมู่สงฆ์ยังคงมีมติเช่นเดิม
ในท้ายที่สุดคอลัมนิสต์ชื่อดัง ขมวดปมเป็นข้อเสนอให้พุทธะอิสระ พิจารณาว่า “หลวงปู่ควรกล่าวคำขอบวชใหม่ จะสบายใจทั้งสงฆ์-ทั้งชาวบ้าน และ เพจหลวงปู่ก็ได้ตอบรับความปรารถนาดีดังกล่าว.
**อ๊ะ อ๊ะ คุ้นๆ พยานปากเอกกลุ่มหนุนใช้สารพิษ สองอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรคนดัง โดยเฉพาะ "อนันต์ ดาโลดม" กับปมโยงใย "มอนซานโต้"
เรียกว่า "เปิดหน้า" กันเลยกับการต่อสู้เพื่อให้รัฐบาลเปลี่ยนใจไม่แบน "3 สารพิษ" สวนกระแสคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างปลอดสาร เมื่อมี 2 อดีตข้าราชการระดับอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เดินทางมาเป็นพยานฝ่ายผู้ร้องต่อศาลปกครองกลาง ในการไต่สวนเมื่อวานนี้ (30ต.ค.)
คนหนึ่ง "อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ" อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร มาในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการเกษตร พร้อมกับเหตุผลที่ต้องขอพึ่งศาลฯ ระงับการแบนว่า กระบวนการแบนไม่ชอบ และไม่ครอบคลุมตามข้อกฎหมาย อ้างว่าหลายปีที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตร ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้สารเคมี แต่ คณะกรรมการวัตถุอันตราย กลับลงมติด้วยความลุกลี้ลุกลน ไม่รอบคอบ ไม่เป็นไปตามหลักธรรมภิบาล
อีกคนหนึ่ง "อนันต์ ดาโลดม”อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เช่นกัน ให้ข้อมูลไปในทำนองเดียวกันว่า ข้อมูลที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณา เป็นข้อมูลเก่าทั้งสิ้น ไม่มีข้อมูลใหม่ และเห็นว่าการพิจารณามีการ"ชี้นำ" ของรัฐมนตรีในการลงมติ จึงเป็นมติที่ขาดความชอบธรรม และเสี่ยงต่อการถูกฟ้อง
อดีตอธิบดีฯ ยังบอกอีกว่า สมัยเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตร จะแบนสารเคมี 4 ตัว ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี เพราะต้องศึกษาผลกระทบ สารทดแทนให้ครบถ้วน การพิจารณาก็โปร่งใสทุกขั้นตอน แต่ครั้งนี้กรรมการเหมือนถูกกดดัน ได้รับคำสั่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสู้กับกระบวนการที่ใหญ่มาก ภาคการเมืองเมื่อแบนแล้ว ไม่ได้สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร ว่าจะเป็นอย่างไร...
แล้วยังพยากรณ์ต่อว่า หลังจากนี้จะมีการลักลอบขาย 3 สาร ที่ถูกแบน และมีสารเคมีปลอมออกมาจำหน่าย พร้อมห่วงการนำเข้าสินค้าที่มีการใช้ 3 สาร จะเกิดผลกระทบจำนวนมาก
ก่อนจะทิ้งหมัดยิงตรงไปที่ รัฐมนตรีมนัญญา ไทยเศรษฐ์ ว่า การพิจารณาของรัฐมนตรี เอาแต่กระแสสังคม เอ็นจีโอ มากำหนดเป็นนโยบาย ปัญหานี้ยากต่อการแก้ไข รัฐบาลจะเอางบไหนมาชดเชยให้เกษตรกร
ต้องชมเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง พร้อมด้วย เครือข่ายผู้แทนเกษตรกร 6 จังหวัด ผู้ร้องครั้งนี้ ที่เปิด "ตัวละคร" จาก "ที่ลับ" มาสู่ที่แจ้งจะได้รู้ว่า "ไผเป็นไผ" ระหว่างผู้หนุน และผู้ต้านสารเคมีเกษตร
เหตุและผลก็ว่ากันได้ แถมทั้งสองยังเคยเป็นถึง อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ตำแหน่งนี้ทรงอิทธิพลต่อภาคการเกษตรแค่ไหนไม่ต้องสงสัย เกี่ยวโยงกับทั้งเกษตรกร และทุนใหญ่ อุตสาหกรรมสารเคมีเกษตร และก็มีคำถามถึงปมในอดีต โดยเฉพาะอดีตอธิบดี " อนันต์" ว่าคุ้นๆ จะเคยมีเรื่องโยงใยกับ "มอนซานโต้" ยักษ์ใหญ่ค้าสารเคมีข้ามชาติ...
ว่ากันว่า ครั้งหนึ่ง มีคนพยายามชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของ "อนันต์ ดาโลดม" เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กับบริษัทข้ามชาติ"มอนซานโต้" ที่ต้องรับผิดชอบกรณีการทำให้พืชจีเอ็มโอ คือ "ฝ้ายบีที" หลุดออกไปปลูกในพื้นที่เกษตรหลายหมื่นไร่ ทั้งๆ ที่ไม่ผ่านการทดสอบเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพ และได้นำไปสู่กรณีที่เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน 5 องค์กร ได้นำเรื่องเข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินการกับอธิบดีคนดังกล่าวในข้อหา ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่
เรื่องนี้ถ้าอยากรู้ลึกๆ เบื้องหน้าเบื้องหลัง และตัวตนอดีตอธิบดีฯคนนี้ ต้องไปถาม "อ.เดชา ศิริภัทร" ปราชญ์ชาวบ้าน หมอพื้นบ้าน ที่รู้จักกันดี ที่คิดสูตร "น้ำมันเดชา" กัญชารักษาโรคที่โด่งดัง
รู้แล้วก็จะถึงบางอ้อทันที มันเป็นเช่นนี้นี่เอง
**"เต้" งานเข้า !! เล่นบทเซลส์แมน ผิดที่ผิดเวลา เอาสารตั้งต้นระเบิดTNT พร้อมเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดเข้าสภาฯ แถมปูดข่าวมีผู้ก่อการร้ายเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้กว่า 100 คน ทั้งที่กำลังจะมีการประชุมอาเซียนซัมมิต ทำเอาวุ่นกันไปหมด "ชวน"เต้น สั่งฝ่ายกฎหมายตั้งทีมสอบ
เล่นเอาป่วนกันทั้งสภาฯ และฝ่ายความมั่นคง เมื่อ "ส.ส.เต้" มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ นำเอา "ไนโตรเจนผง" ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการทำระเบิด TNT พร้อมเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดรุ่นใหม่ จากสหรัฐอเมริกา จำนวน 2 เครื่อง พร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยทำลายวัตถุระเบิด หรือ EOD ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา โดยบอกว่าจะนำเครื่องตรวจวัตถุระเบิดนี้ มามอบให้รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทดลองใช้ ... เพราะช่วงนี้จะมีการประชุมอาเซียนซัมมิตในไทยพอดี... แถมยังบอกอีกว่า ได้ข่าวจากฝ่ายความมั่นคงว่า มีผู้ก่อการร้ายเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้ กว่า 100 คน จึงเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมาก
จากนั้นก็ได้บรรยายสรรพคุณของเครื่องตรวจวัตถุระเบิดที่ว่านี้ เคยนำไปทดสอบที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้ว สามารถตรวจจับระเบิด TNT ขนาดครึ่งปอนด์ ในระยะ 8 เมตรได้สบาย ขนาดสารประกอบระเบิด ที่มีปริมาณแค่ 1 กรัม ยังตรวจพบได้ ภายในเวลาแค่ 30 วินาทีเท่านั้น... ผิดกับเครื่องตรวจวัตถุระเบิดของรัฐสภา ที่ไม่เวิร์ก ขนาดเอาสารตั้งต้นระเบิด TNT ผ่านเครื่องยังไม่ร้องสักติ๊ด ....แถมมโนต่อไปว่า ห้องทำงานของ ส.ส.ฝ่ายค้าน นั้นอยู่ด้านล่างที่เป็นฐานรากของอาคาร บริเวณใต้ห้องประชุมสภาฯ เกิดมีใครเอาระเบิดมาซุกอยู่ที่ใต้ห้องประชุมสภาฯ มิบรรลัยกันหรือ เพราะเครื่องตรวจวัตถุระเบิดของรัฐสภา ไม่มีประสิทธิภาพ…
หลัง "ส.ส.เต้" แถลงข่าวก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ กันใหญ่โต ว่าขนาดอาวุธปืนยังเอาเข้ามาไม่ได้ แล้วนี่เล่นเอาวัตถุระเบิดเข้าสภาฯ มันจะได้หรือ...เจ้าหน้าที่ EOD ที่มาด้วยก็ไม่รู้เป็นเจ้าหน้าที่จริง หรือเจ้าหน้าที่ปลอม...
กระทั่งข่าวเรื่องนี้ไปเข้าหู "นายชวน หลีกภัย" ประธานสภาฯ... และเมื่อนักข่าวไปถาม นายชวน ก็บอกว่ากำลังติดตาม สอบถามอยู่ว่าเรื่องเป็นมายังไง ...ใครเป็นคนมอบหมายให้ทำ เพราะไม่ได้มีการขออนุญาตมาก่อนว่าจะมีการนำสารประกอบวัตถุระเบิด เข้ามาสาธิตการตรวจสอบในสภาฯ ก็คงต้องมีการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ไปพิจารณาว่า จะดำเนินการกับนายมงคลกิตติ์ อย่างไร ต่อไป
ด้าน"นายอภิรักษ์ บัวทอง" เจ้าหน้าที่สำนักรักษาความปลอดภัย สภาผู้แทนราษฎร ก็บอกว่า ตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์ที่มีการแถลงข่าวนี้ด้วย พร้อมอธิบายว่า เครื่องสแกนระเบิดของสภาฯ เป็นเครื่องสำหรับตรวจวัตถุระเบิด ไม่ใช่เครื่องตรวจสารตั้งต้น ดังนั้นเมื่อเอาแค่สาร ”ไนโตรเจนผง” มาผ่านเครื่องตรวจจับของสภาฯ จึงตรวจจับไม่ได้ ยืนยันว่า ระบบรักษาความปลอดภัยของสภาฯ ได้มาตรฐานแน่นอน
ขณะที่ "สิระ เจนจาคะ" ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาเอาเรื่องกับ "ส.ส.เต้" ด้วย โดยระบุว่า "ไนโตรเจนผง" เป็นสารประกอบวัตถุระเบิด เป็นวัตถุต้องห้ามในการครอบครอง ใครมีไว้ถือว่าผิดกฎหมาย แม้ "ส.ส.มงคลกิต" จะอ้างว่านำมาตรวจสอบในฐานะที่เป็นกรรมาธิการทหาร ก็จะต้องได้รับอนุญาตในการครอบครองเสียก่อน เมื่อจะนำเข้าสภาฯ ก็ต้องได้รับอนุญาตจากประธานสภาฯ หรือเลขาธิการสำนักงานสภาฯ ... ส่วนเจ้าหน้าที่ EOD ที่มาด้วยนั้น ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้อง หรือไม่ จึงขอเรียกร้องไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ รวมทั้งตัว นายมงคลกิตต์ด้วย ... พร้อมทิ้งท้ายว่า ไม่รู้ "ส.ส.มงคลกิตติ์" มีผลประโยชน์อะไรกับเรื่องนี้ ถึงได้กล้าเสี่ยงทำผิดกฎหมาย...
อีกหน่วยงานหนึ่งที่ต้องเต้นไปกับเรื่องนี้ก็คือ "ฝ่ายความมั่นคง" เพราะ "ส.ส.เต้" เล่นอ้างแหล่งข่าวทางทหาร ว่ามีผู้ก่อการร้ายเข้ามาในประเทศ กว่า 100 คน แถมยังพูดโยงกับ”การประชุมอาเซียนซัมมิต” ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 31ต.ค.-4 พ.ย.นี้ เข้าไปด้วย ทำเอา "พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์" โฆษกกระทรวงกลาโหม ต้องรีบออกมาแถลงยืนยันถึง มาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยการประชุมอาเซียนซัมมิต ว่าเป็นไปด้วยความเข้มงวด รับรองว่ามีความปลอดภัย ... ส่วนเรื่องกลุ่มก่อการร้ายเข้ามาในประเทศนั้น ก็ยังไม่มีรายงานว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างที่ว่า ไม่รู้ไปเอาข้อมูลมาจากไหน ... แต่หน่วยงานความมั่นคงก็ได้เตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ในทุกรูปแบบ...
จะว่าไปแล้ว "ส.ส.เต้" มงคลกิตติ์ แม้จะมีบุคลิกออกไปทาง "หวือหวา" จนเป็นที่จดจำ... แต่การทำงานในช่วงที่ผ่านมาก็จัดได้ว่าเป็น ส.ส.รุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถคนหนึ่ง... ดูได้จากผลงานการอภิปรายนโยบายรัฐบาล "เรื่องการบินไทย" ก็มีการเตรียมข้อมูลมาเป็นอย่างดี จนจัดได้ว่าเป็น"ดาวสภาฯ" คนหนึ่ง ...แต่คราวนี้ทำไมถึง "การ์ดตก" ก็ไม่ทราบได้...หลังจากนี้เจ้าตัวก็คงต้องลุ้นว่า ผลการสอบของ ฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนฯ จะสรุปออกมาอย่างไร.
--------------------------
รูป- หลวงปู่พุทธะอิสระ
-อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ-อนันต์ ดาโลดม
- มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
**ชัดชัดจาก “พุทธะอิสระ”คืนผ้าเหลือง “โลกไม่ให้ช้ำ ธรรมก็ต้องไม่เสีย”ลั่นต้องไม่สร้างประเด็น ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในทางโลกและทางธรรม จะกลับไปขอบรรพชา อุปสมบทใหม่อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อคดีกบฏจบลงแล้ว
กรณี“พุทธะอิสระ”ลั่นวาจาจะกลับมาคืนสู่ผ้าเหลือง และมีประเด็นให้ขบคิดกัน โดย“เปลว สีเงิน”ของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนไว้เมื่อวันก่อน เพจ หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)โพสต์เมื่อ วานนี้ (30ต.ค.) ระบุว่า ขอบคุณในน้ำใจของคุณโรจน์ งามแม้น (นามปากกา เปลวสีเงิน) ที่ยังระลึกถึงกันอยู่ โดยเฉพาะข้อเขียนท้ายบทความ คุณเปลวสีเงิน ได้ฝากความปรารถนาดี ชี้แนะมาว่า “หลวงปู่พ้นโทษคุกก็จริง แต่ทางคดีถือว่าได้ทำผิด ทั้งรับสารภาพ ในทางสงฆ์บอกว่าหลวงปู่ยังดำรงภิกษุภาวะ ผมก็สาธุ แต่ทางโลกผมเกรงจะเกิดครหา เพื่อตัดบ่วงมารที่จะตามราวีภายหลัง ๕ ธันวา หลวงปู่กล่าวคำขอบวชใหม่ จะสบายใจทั้งสงฆ์-ทั้งชาวบ้าน นี่คือความเห็นผม”
ขอบคุณในน้ำใจที่ยังห่วงใยกันเสมอ ข้อชี้แนะของกัลยาณมิตรที่ดีอย่าง "ลุงเปลว" มีหรือ "พุทธะอิสระ" จักเมินเฉย เรื่องนี้คิดอยู่ในใจไว้เหมือนกันว่า การกลับมาห่มผ้าเหลืองของพุทธะอิสระในครั้งนี้ จักต้องไม่สร้างประเด็น ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในทางโลกและทางธรรม
"พุทธะอิสระ" จึงได้แจ้งในที่ประชุมสงฆ์ที่ผ่านมาว่า หากพุทธะอิสระจักกลับมาห่มผ้าเหลืองใหม่อีกครั้งครานี้นั้น กฎหมายในอาณาจักรก็ต้องถือปฏิบัติ พระธรรมวินัยก็ต้องรักษา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า... "โลกก็ไม่ให้ซ้ำ ธรรมก็ต้องไม่เสีย"
ยิ่งมาได้เห็นน้ำจิต น้ำใจของกัลยาณมิตรอย่าง "ลุงเปลว" ที่สู้อุตส่าห์เขียนบทความมาชี้แนะมาด้วยความห่วงใย พุทธะอิสระ ยิ่งต้องมิอาจทำให้ความปรารถนาดีของท่านทั้งหลายต้องพลันมลาย เพราะความเห็นแก่ตัว
เพื่อให้ทุกคนสบายใจอย่างที่ "ลุงเปลว" ว่า..."พุทธะอิสระ" จักกลับไปขอบรรพชา อุปสมบทใหม่อีกครั้ง แต่ก็ต่อเมื่อคดีกบฏจบลงแล้ว หวังว่าทุกท่านที่ห่วงใย คงสบายใจขึ้นบ้าง
ส่วนเรื่องความปรารถนาของโยมแม่ที่ป่วยนอนติดเตียง ต้องการจักเห็นพุทธะอิสระกลับไปนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก่อนที่ท่านจักตาย ก็คงต้องพยายามประคับประคอง ยืดอายุขัยของท่าน มิให้แม่ต้องเป็นอะไรไปเสียก่อนที่คดีกบฏ จะยุติลง เพื่อเราจักได้กลับไปห่มผ้าเหลืองให้ท่านได้เห็นก่อนตาย ... ส่วนเรื่องความรู้สึก ความปรารถนาดีของญาติโยม คงจักพอเข้าใจได้ พวกเขาเฝ้ารอให้เรากลับไปห่มผ้าเหลืองมาเป็นปี หากจักขอให้รอไปอีกซักปี ครึ่งปี พวกเขาคงจักรอได้ ขอบคุณทุกท่านที่หวังดี...ลงชื่อ พุทธะอิสระ
ต้องบอกว่า “ชัดเจน”โดยไม่ต้องดรามา หรือถกเถียงกันต่อ เพราะก่อนหน้านี้ จากที่"หลวงปู่พุทธะอิสระ" ได้โพสต์ ตามด้วยการประชุมสงฆ์ ที่วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) จ.นครปฐม โดยเปลวสีเงินสรุปใจความไว้ว่า "...สิ้นเดือนตุลาคมนี้ ก็สิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติ ในคำพิพากษาคดีทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะชุมนุมด้วย เพราะเวลาเจ้าหน้าที่กองปราบมาจับ แล้วส่งฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่กองปราบได้นิมนต์หลวงพ่อ เจ้าคณะเขต เจ้าอาวาสวัดเสมียนนารี และเลขาฯ มาทำหน้าที่สึก "พุทธะอิสระ" ได้กราบเรียนหลวงพ่อผู้คุ้นเคยกันไปว่า กระผมมิได้ละเมิดต่ออาบัติร้ายแรงจนทำให้ขาดจากความเป็นพระ ผมจึงไม่ยินดีกล่าวคำลาสิกขา ครั้นออกจากคุกมาแล้ว จึงตั้งใจว่า จักกลับมาห่มผ้าจีวรอีก
พอดีมหาเถรสมาคม ออกกฎขึ้นมาใหม่ว่า ภิกษุผู้ต้องโทษอยู่ในขณะคุมความประพฤติของทางราชการ ห้ามกลับเข้ามาบวชอีกจนกว่าจักหมดเวลาคุมความประพฤติ (ตามหมวด ๓ ว่าด้วยหน้าที่พระอุปัชฌาย์ กฎ มส.๑๗) ซึ่งกรณีของ "พุทธะอิสระ" จักสิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติลงในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ เหตุนี้ จึงกำหนดเวลากลับไปห่มผ้าไตรจีวร ในวันที่ ๕ ธันวาคม เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่องค์พ่อหลวง ร.๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง"
ต่อมา เมื่อ ๒๗ ตุลาฯ ที่วัดอ้อน้อย นครปฐม มีพิธีกรรม พระสงฆ์วัดต่างๆในเขตนั้นมาประชุมกัน พร้อมชาวบ้านจำนวนมาก "พุทธะอิสระ" หรือ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ในชุดขาว รายงานถึงเรื่องราวทั้งหมดแต่ต้นจนถึงถูกจับ จากนั้นขอให้หมู่สงฆ์พิจารณา และออกฉันทามติ ยอมรับว่า "ภิกษุภาวะ" ของพุทธะอิสระ ยังดำรงอยู่หรือไม่ ? และมีความเห็นอย่างไร ... กลับมาครองจีวรตามเดิมเลย หรือควรให้กล่าวคำขอบวชใหม่ ? คณะสงฆ์แสดงความเห็นและลงมติ รับรองความเป็นพระของ พุทธะอิสระ แต่พุทธะอิสระ เกรงจะเกิดข้อครหาภายหลัง เน้นย้ำให้หมู่สงฆ์พิจารณาให้ถ้วนถี่อีกที สุดท้ายแล้ว หมู่สงฆ์ยังคงมีมติเช่นเดิม
ในท้ายที่สุดคอลัมนิสต์ชื่อดัง ขมวดปมเป็นข้อเสนอให้พุทธะอิสระ พิจารณาว่า “หลวงปู่ควรกล่าวคำขอบวชใหม่ จะสบายใจทั้งสงฆ์-ทั้งชาวบ้าน และ เพจหลวงปู่ก็ได้ตอบรับความปรารถนาดีดังกล่าว.
**อ๊ะ อ๊ะ คุ้นๆ พยานปากเอกกลุ่มหนุนใช้สารพิษ สองอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรคนดัง โดยเฉพาะ "อนันต์ ดาโลดม" กับปมโยงใย "มอนซานโต้"
เรียกว่า "เปิดหน้า" กันเลยกับการต่อสู้เพื่อให้รัฐบาลเปลี่ยนใจไม่แบน "3 สารพิษ" สวนกระแสคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างปลอดสาร เมื่อมี 2 อดีตข้าราชการระดับอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เดินทางมาเป็นพยานฝ่ายผู้ร้องต่อศาลปกครองกลาง ในการไต่สวนเมื่อวานนี้ (30ต.ค.)
คนหนึ่ง "อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ" อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร มาในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการเกษตร พร้อมกับเหตุผลที่ต้องขอพึ่งศาลฯ ระงับการแบนว่า กระบวนการแบนไม่ชอบ และไม่ครอบคลุมตามข้อกฎหมาย อ้างว่าหลายปีที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตร ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้สารเคมี แต่ คณะกรรมการวัตถุอันตราย กลับลงมติด้วยความลุกลี้ลุกลน ไม่รอบคอบ ไม่เป็นไปตามหลักธรรมภิบาล
อีกคนหนึ่ง "อนันต์ ดาโลดม”อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เช่นกัน ให้ข้อมูลไปในทำนองเดียวกันว่า ข้อมูลที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณา เป็นข้อมูลเก่าทั้งสิ้น ไม่มีข้อมูลใหม่ และเห็นว่าการพิจารณามีการ"ชี้นำ" ของรัฐมนตรีในการลงมติ จึงเป็นมติที่ขาดความชอบธรรม และเสี่ยงต่อการถูกฟ้อง
อดีตอธิบดีฯ ยังบอกอีกว่า สมัยเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตร จะแบนสารเคมี 4 ตัว ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี เพราะต้องศึกษาผลกระทบ สารทดแทนให้ครบถ้วน การพิจารณาก็โปร่งใสทุกขั้นตอน แต่ครั้งนี้กรรมการเหมือนถูกกดดัน ได้รับคำสั่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสู้กับกระบวนการที่ใหญ่มาก ภาคการเมืองเมื่อแบนแล้ว ไม่ได้สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร ว่าจะเป็นอย่างไร...
แล้วยังพยากรณ์ต่อว่า หลังจากนี้จะมีการลักลอบขาย 3 สาร ที่ถูกแบน และมีสารเคมีปลอมออกมาจำหน่าย พร้อมห่วงการนำเข้าสินค้าที่มีการใช้ 3 สาร จะเกิดผลกระทบจำนวนมาก
ก่อนจะทิ้งหมัดยิงตรงไปที่ รัฐมนตรีมนัญญา ไทยเศรษฐ์ ว่า การพิจารณาของรัฐมนตรี เอาแต่กระแสสังคม เอ็นจีโอ มากำหนดเป็นนโยบาย ปัญหานี้ยากต่อการแก้ไข รัฐบาลจะเอางบไหนมาชดเชยให้เกษตรกร
ต้องชมเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง พร้อมด้วย เครือข่ายผู้แทนเกษตรกร 6 จังหวัด ผู้ร้องครั้งนี้ ที่เปิด "ตัวละคร" จาก "ที่ลับ" มาสู่ที่แจ้งจะได้รู้ว่า "ไผเป็นไผ" ระหว่างผู้หนุน และผู้ต้านสารเคมีเกษตร
เหตุและผลก็ว่ากันได้ แถมทั้งสองยังเคยเป็นถึง อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ตำแหน่งนี้ทรงอิทธิพลต่อภาคการเกษตรแค่ไหนไม่ต้องสงสัย เกี่ยวโยงกับทั้งเกษตรกร และทุนใหญ่ อุตสาหกรรมสารเคมีเกษตร และก็มีคำถามถึงปมในอดีต โดยเฉพาะอดีตอธิบดี " อนันต์" ว่าคุ้นๆ จะเคยมีเรื่องโยงใยกับ "มอนซานโต้" ยักษ์ใหญ่ค้าสารเคมีข้ามชาติ...
ว่ากันว่า ครั้งหนึ่ง มีคนพยายามชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของ "อนันต์ ดาโลดม" เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กับบริษัทข้ามชาติ"มอนซานโต้" ที่ต้องรับผิดชอบกรณีการทำให้พืชจีเอ็มโอ คือ "ฝ้ายบีที" หลุดออกไปปลูกในพื้นที่เกษตรหลายหมื่นไร่ ทั้งๆ ที่ไม่ผ่านการทดสอบเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพ และได้นำไปสู่กรณีที่เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน 5 องค์กร ได้นำเรื่องเข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินการกับอธิบดีคนดังกล่าวในข้อหา ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่
เรื่องนี้ถ้าอยากรู้ลึกๆ เบื้องหน้าเบื้องหลัง และตัวตนอดีตอธิบดีฯคนนี้ ต้องไปถาม "อ.เดชา ศิริภัทร" ปราชญ์ชาวบ้าน หมอพื้นบ้าน ที่รู้จักกันดี ที่คิดสูตร "น้ำมันเดชา" กัญชารักษาโรคที่โด่งดัง
รู้แล้วก็จะถึงบางอ้อทันที มันเป็นเช่นนี้นี่เอง
**"เต้" งานเข้า !! เล่นบทเซลส์แมน ผิดที่ผิดเวลา เอาสารตั้งต้นระเบิดTNT พร้อมเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดเข้าสภาฯ แถมปูดข่าวมีผู้ก่อการร้ายเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้กว่า 100 คน ทั้งที่กำลังจะมีการประชุมอาเซียนซัมมิต ทำเอาวุ่นกันไปหมด "ชวน"เต้น สั่งฝ่ายกฎหมายตั้งทีมสอบ
เล่นเอาป่วนกันทั้งสภาฯ และฝ่ายความมั่นคง เมื่อ "ส.ส.เต้" มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ นำเอา "ไนโตรเจนผง" ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการทำระเบิด TNT พร้อมเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดรุ่นใหม่ จากสหรัฐอเมริกา จำนวน 2 เครื่อง พร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยทำลายวัตถุระเบิด หรือ EOD ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา โดยบอกว่าจะนำเครื่องตรวจวัตถุระเบิดนี้ มามอบให้รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทดลองใช้ ... เพราะช่วงนี้จะมีการประชุมอาเซียนซัมมิตในไทยพอดี... แถมยังบอกอีกว่า ได้ข่าวจากฝ่ายความมั่นคงว่า มีผู้ก่อการร้ายเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้ กว่า 100 คน จึงเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมาก
จากนั้นก็ได้บรรยายสรรพคุณของเครื่องตรวจวัตถุระเบิดที่ว่านี้ เคยนำไปทดสอบที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้ว สามารถตรวจจับระเบิด TNT ขนาดครึ่งปอนด์ ในระยะ 8 เมตรได้สบาย ขนาดสารประกอบระเบิด ที่มีปริมาณแค่ 1 กรัม ยังตรวจพบได้ ภายในเวลาแค่ 30 วินาทีเท่านั้น... ผิดกับเครื่องตรวจวัตถุระเบิดของรัฐสภา ที่ไม่เวิร์ก ขนาดเอาสารตั้งต้นระเบิด TNT ผ่านเครื่องยังไม่ร้องสักติ๊ด ....แถมมโนต่อไปว่า ห้องทำงานของ ส.ส.ฝ่ายค้าน นั้นอยู่ด้านล่างที่เป็นฐานรากของอาคาร บริเวณใต้ห้องประชุมสภาฯ เกิดมีใครเอาระเบิดมาซุกอยู่ที่ใต้ห้องประชุมสภาฯ มิบรรลัยกันหรือ เพราะเครื่องตรวจวัตถุระเบิดของรัฐสภา ไม่มีประสิทธิภาพ…
หลัง "ส.ส.เต้" แถลงข่าวก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ กันใหญ่โต ว่าขนาดอาวุธปืนยังเอาเข้ามาไม่ได้ แล้วนี่เล่นเอาวัตถุระเบิดเข้าสภาฯ มันจะได้หรือ...เจ้าหน้าที่ EOD ที่มาด้วยก็ไม่รู้เป็นเจ้าหน้าที่จริง หรือเจ้าหน้าที่ปลอม...
กระทั่งข่าวเรื่องนี้ไปเข้าหู "นายชวน หลีกภัย" ประธานสภาฯ... และเมื่อนักข่าวไปถาม นายชวน ก็บอกว่ากำลังติดตาม สอบถามอยู่ว่าเรื่องเป็นมายังไง ...ใครเป็นคนมอบหมายให้ทำ เพราะไม่ได้มีการขออนุญาตมาก่อนว่าจะมีการนำสารประกอบวัตถุระเบิด เข้ามาสาธิตการตรวจสอบในสภาฯ ก็คงต้องมีการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ไปพิจารณาว่า จะดำเนินการกับนายมงคลกิตติ์ อย่างไร ต่อไป
ด้าน"นายอภิรักษ์ บัวทอง" เจ้าหน้าที่สำนักรักษาความปลอดภัย สภาผู้แทนราษฎร ก็บอกว่า ตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์ที่มีการแถลงข่าวนี้ด้วย พร้อมอธิบายว่า เครื่องสแกนระเบิดของสภาฯ เป็นเครื่องสำหรับตรวจวัตถุระเบิด ไม่ใช่เครื่องตรวจสารตั้งต้น ดังนั้นเมื่อเอาแค่สาร ”ไนโตรเจนผง” มาผ่านเครื่องตรวจจับของสภาฯ จึงตรวจจับไม่ได้ ยืนยันว่า ระบบรักษาความปลอดภัยของสภาฯ ได้มาตรฐานแน่นอน
ขณะที่ "สิระ เจนจาคะ" ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาเอาเรื่องกับ "ส.ส.เต้" ด้วย โดยระบุว่า "ไนโตรเจนผง" เป็นสารประกอบวัตถุระเบิด เป็นวัตถุต้องห้ามในการครอบครอง ใครมีไว้ถือว่าผิดกฎหมาย แม้ "ส.ส.มงคลกิต" จะอ้างว่านำมาตรวจสอบในฐานะที่เป็นกรรมาธิการทหาร ก็จะต้องได้รับอนุญาตในการครอบครองเสียก่อน เมื่อจะนำเข้าสภาฯ ก็ต้องได้รับอนุญาตจากประธานสภาฯ หรือเลขาธิการสำนักงานสภาฯ ... ส่วนเจ้าหน้าที่ EOD ที่มาด้วยนั้น ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้อง หรือไม่ จึงขอเรียกร้องไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ รวมทั้งตัว นายมงคลกิตต์ด้วย ... พร้อมทิ้งท้ายว่า ไม่รู้ "ส.ส.มงคลกิตติ์" มีผลประโยชน์อะไรกับเรื่องนี้ ถึงได้กล้าเสี่ยงทำผิดกฎหมาย...
อีกหน่วยงานหนึ่งที่ต้องเต้นไปกับเรื่องนี้ก็คือ "ฝ่ายความมั่นคง" เพราะ "ส.ส.เต้" เล่นอ้างแหล่งข่าวทางทหาร ว่ามีผู้ก่อการร้ายเข้ามาในประเทศ กว่า 100 คน แถมยังพูดโยงกับ”การประชุมอาเซียนซัมมิต” ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 31ต.ค.-4 พ.ย.นี้ เข้าไปด้วย ทำเอา "พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์" โฆษกกระทรวงกลาโหม ต้องรีบออกมาแถลงยืนยันถึง มาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยการประชุมอาเซียนซัมมิต ว่าเป็นไปด้วยความเข้มงวด รับรองว่ามีความปลอดภัย ... ส่วนเรื่องกลุ่มก่อการร้ายเข้ามาในประเทศนั้น ก็ยังไม่มีรายงานว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างที่ว่า ไม่รู้ไปเอาข้อมูลมาจากไหน ... แต่หน่วยงานความมั่นคงก็ได้เตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ในทุกรูปแบบ...
จะว่าไปแล้ว "ส.ส.เต้" มงคลกิตติ์ แม้จะมีบุคลิกออกไปทาง "หวือหวา" จนเป็นที่จดจำ... แต่การทำงานในช่วงที่ผ่านมาก็จัดได้ว่าเป็น ส.ส.รุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถคนหนึ่ง... ดูได้จากผลงานการอภิปรายนโยบายรัฐบาล "เรื่องการบินไทย" ก็มีการเตรียมข้อมูลมาเป็นอย่างดี จนจัดได้ว่าเป็น"ดาวสภาฯ" คนหนึ่ง ...แต่คราวนี้ทำไมถึง "การ์ดตก" ก็ไม่ทราบได้...หลังจากนี้เจ้าตัวก็คงต้องลุ้นว่า ผลการสอบของ ฝ่ายกฎหมายสภาผู้แทนฯ จะสรุปออกมาอย่างไร.
--------------------------
รูป- หลวงปู่พุทธะอิสระ
-อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ-อนันต์ ดาโลดม
- มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์