วันนี้...คงต้องวนมา-วนไปอยู่แถวๆ ตะวันออกกลางกันอีกนั่นแหละทั่น แต่จะลองขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ข้ามฝั่งอิหร่านมาสำรวจตรวจสอบแถวๆ ราชอาณาจักรซาอุฯ กันดูอีกสักรอบ ว่าหลังจากต้องเจอกับจรวด เครื่องบินโดรน ของใครต่อใครก็ตามที ถล่มคลังน้ำมันที่ถือเป็น “หัวใจ” ของกระบวนการผลิตทั้งมวล ชนิดอ่วมอรทัยกาญจนชูศักดิ์ไปพอสมควร พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางที่ได้ชื่อว่า “ผู้ส่งออกการก่อการร้าย” รายใหญ่ ไม่น้อยไปกว่าพันธมิตรใกล้ชิดอย่างอเมริกาและอิสราเอล จะหันซ้าย หันขวา ตีลังกา กลับหลังหัน ไปในทิศไหน ทางไหน กันต่อไป...
ถ้าจะสรุปรวมความแบบคร่าวๆ โดยลักษณะอาการของราชอาณาจักรซาอุฯ ทุกวันนี้ ต้องเรียกว่า...ไม่ว่าจะมีเงิน มีทอง เหลือเฟือมากมายมหาศาลสักเพียงไหน แต่เมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ น่าจะ “กรอบเป็นข้าวเกรียบ” ระดับสามารถป่นเป็นผง เป็นแป้งได้เสมอๆ เพราะไม่เพียงแต่เงินระดับเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้าน ที่เอาไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบป้องกันภัยชนิดต่างๆ จากคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก แต่กลับไม่สามารถป้องกันจรวดกระป๋อง เครื่องบินกระป๋อง ของพวก “กบฏฮูตี” หรือ “ฮูซี” แห่งเยเมนได้เลย ล่าสุด...จากการแถลงข่าวของโฆษกกองกำลัง “ฮูตี” “พลจัตวายะห์ยา ซารี” (Yahya Saree) เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (29 ก.ย.) ที่ผ่านมาพร้อมคลิปวิดีโอประกอบเป็นข้อพิสูจน์ หลักฐานชนิดสมบูรณ์แบบ พอสรุปได้ว่า...กองกำลังกบฏฮูตีขณะนี้ สามารถบุกข้ามพรมแดน รุกเข้าไปโจมตีราชอาณาจักรซาอุฯ บริเวณพื้นที่ภาคใต้ แถวเมือง “Najran” พลิกสถานะสงครามจากที่เคยเป็น “ผู้ถูกบุกรุก” มาตลอด 4 ปีกว่าๆ กลายมาเป็น “ผู้บุกรุก” ไปแล้ว ในทุกวันนี้...
โดยปฏิบัติการที่ถูกเรียกขานกันในนาม “ชัยชนะของพระผู้เป็นเจ้า” (God’s Victory) ภายในช่วงเวลาแค่ 72 ชั่วโมง กองกำลังกบฏเยเมนได้บุกทำลายกองทหารของกองทัพซาอุฯ ไปเป็นจำนวนถึง 3 กองพันหลักๆ ด้วยกัน ยึดอุปกรณ์ทางทหาร ยานพานะ รถหุ้มเกราะ สังหารทหารซาอุฯ ตายไปไม่ต่ำกว่า 200 ถูกจับเป็นเชลยอีกจำนวนนับพัน เรียกว่า...ถึงแม้ไม่ต้องใช้ “อาวุธบินได้” แต่หันมาใช้สองตีนเปล่าๆ บุกภาคพื้นดินกันแทนที่ บรรดานักรบที่สุดจะจนแสนจน ของประเทศที่ได้ชื่อว่าจนระดับติดอันดับโลกประเทศนี้ ก็ยังสามารถป่นกองทัพของประเทศอภิมหาเศรษฐี ให้กลายเป็นแป้ง เป็นผง เอาง่ายๆ...
ลักษณะอาการของรัฐบาลซาอุฯ ภายใต้อำนาจบารมีของราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” ช่วงระยะนี้ จึงหนักไปทางมึนซ์ซ์ซ์ๆ เบลออ์อ์อ์ๆ ไม่ต่างไปจากผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้ “มายาภาพ” อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “โมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ” ท่านพยายามให้คำอธิบายเอาไว้เมื่อวันสองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “ด้วยเหตุเพราะพวกเขาเคยชินอยู่กับการใช้เงินในการซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ การสนับสนุน หรือแม้แต่ซื้อความเป็นพันธมิตร เขาเลยคิดว่าเงินนั้น...สามารถซื้อความมั่นคงของประเทศได้ และนั่นก็คือ...การหลงอยู่ในมายาภาพนั่นเอง” ซึ่งโดยคำอธิบายในลักษณะเช่นนี้ จะไปเถียง ไปปฏิเสธ...ก็คงลำบาก เนื่องจากความเป็นอภิมหาเศรษฐีน้ำมันของซาอุฯ นั้น แทบไม่ได้ช่วยให้ราชอาณาจักรซาอุฯ ลดอาการโดดเดี่ยวโฮม อโลนลงไปได้เลย นับจากเปิดฉาก “สงครามเยเมน” ตั้งแต่เมื่อเกือบ 4-5 ปีที่แล้ว แต่ทุกวันนี้...ต้องเรียกว่า เหลือกองทัพซาอุฯ เพียงเดี่ยวๆ โด่ๆ เด่ๆ ที่ต้องคอยรับมือ รับตีน พวกกบฏเยเมน คอยหลบจรวดที่อาจตกใส่หัวกบาล เมื่อไหร่ ตอนไหน ก็มิอาจคาดคำนวณได้...
เพราะกองทัพพันธมิตรที่เคยยืนหยัด เคียงบ่า เคียงไหล่ ชนิดถึงไหนก็ถึงกัน อย่างกองทัพ “ยูเออี” ของเจ้าชาย “MbZ” ก็ออกอาการไม่เอาแล้ว ถอยดีกว่า ไม่อาวว์ว์ว์ดีกว่า ไม่ว่าจะเคยซี้แหง ย่ำปึ่ก กับเจ้าชาย “MbS” มกุฎราชกุมารซาอุฯ ถึงขั้นไหน กองทัพอเมริกันที่เคยหนุนหลัง ทั้งยุ ทั้งเชียร์ ให้บุกเยเมน เคยส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ข่าวกรองทางทหารให้ชนิดวันต่อวัน แต่มาถึงขั้นนี้...ก็ช่วยอะไรแทบไม่ได้ มิหนำซ้ำภายในประเทศอเมริกาเอง ยังต้องเจอแรงกด แรงดัน เจออุปสรรคขัดขวางไม่ให้ช่วยอะไรกับซาอุฯ ได้ถนัดถนี่สักเท่าไหร่ ไม่ว่าแรงกดดันจากพวก “นักสิทธิมนุษยชน” ที่ออกจะรับไม่ได้กับความโหดความอำมหิต ในการปิดล้อมผู้คนพลเมืองชาวเยเมนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จำนวนนับสิบๆ ล้าน ให้ขาดอาหาร ขาดน้ำ ขาดยารักษาโรค ฯลฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รับไม่ได้กับความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ระดับม.ม้าวิ่งไล่แทบไม่ทัน ของมกุฎราชกุมาร “MbS” กรณีฆาตกรรมนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาช็อคกี” ชนิดขนลุก ขนพองกันไปทั่วทั้งโลก ไม่ต่างไปจากพันธมิตรตะวันตกอย่างอังกฤษก็ตาม แม้ได้เงิน ได้ทอง ได้กำไรจากการขายอาวุธ ขาย “ระเบิดพวง” ให้กองทัพซาอุฯ มาโดยตลอด แต่แค่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นไปจากความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศตัวเอง แค่นี้...ก็ตายแล้ว!!! อภิมหาเศรษฐีอย่างซาอุฯ ก็เลยเป็นอภิมหาเศรษฐีที่สุดแสนจะโดดเดี่ยว โฮม อโลน ยิ่งขึ้นไปทุกขณะ...
แถมภายใต้ความโดดเดี่ยวในลักษณะเช่นนี้...ยังเกิดรอยแตก รอยแยก ภายในราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” ขยายตัวลุกลามยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้บรรดา “เจ้าชาย” ผู้ไม่เห็นด้วยกับมกุฎราชกุมาร “MbS” จะถูกจับ ถูกปราบ ถูกเด็ดหัวกันไปเป็นรายๆ แต่ก็แทบไม่ได้ช่วยให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืน ความสมัครสมานสามัคคีขึ้นมาภายในราชอาณาจักรเอาเลยแม้แต่น้อย ข่าวลือถึงความแตกแยก แปลกแยกในทุกวันนี้ มันยกระดับขึ้นไปไกลถึงขั้น กลายเป็นความแปลกแยกระหว่าง กษัตริย์ “ซัลมาน” กับลูกชายบังเกิดเกล้า อย่างเจ้าชาย “MbS” กันไปซะแล้ว และจะไปสรุปว่าเป็นแค่ “ข่าวลือ” ล้วนๆ ก็คงลำบาก เพราะมันมีเชื้อ มีเหตุปัจจัย ที่ส่อให้เห็นถึงความเป็นไปในลักษณะดังกล่าวไม่น้อยทีเดียว...
ยิ่งในช่วงล่าสุด...ที่องครักษ์พิทักษ์กษัตริย์ ผู้ได้ชื่อ ฉายา ว่า “ไม้เท้าของกษัตริย์” (The King’s crutch) กันเลยทีเดียว เพราะถือเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด คอยประคองหน้า ประคองหลัง กษัตริย์ “ซัลมาน” อย่างต่อเนื่องยาวนานมาโดยตลอด นั่นคือ “พลตรีAbdulaziz al-Fagham” จู่ๆ...กันดันมาถูกยิงตายเอาดื้อๆ!!! แม้ว่า “ข่าวอย่างเป็นทางการ” จะสรุปว่าเป็นเพราะการทะเลาะกับเพื่อน แต่สำหรับ “ข่าวอย่างไม่เป็นทางการ” หรือ “ข่าวล่า-มาลือ” แล้ว ไม่ว่าจากหนังสือพิมพ์อาหรับ อย่าง “al-Nashrah” จากการ “ทวิต” ของนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายAli al-Ahmad” ไปจนการซุบๆ ซิบๆ ของนักซุบซิบระดับวงในราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” ที่รู้จักกันในนาม “Mujtahid” ฯลฯ ต่างสรุปออกไปในแนวเดียวกันว่า พอๆ กับกรณีฆาตกรรม “นายจามาล คาช็อคกี” หรือ “การลอบสังหาร” นั่นเอง...
จริง-ไม่จริงก็ไม่รู้...แต่นั่นยิ่งน่าจะทำให้รัฐบาลซาอุฯ ยิ่งต้องหายใจทางเหงือกหนักยิ่งขึ้นไปอีก อันเนื่องมาจากด้วยเหตุผลที่ว่า “ความมั่นคงไม่อาจหาซื้อได้ด้วยเงิน” ดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านเขาว่าไว้นั่นแล มีแต่ต้องอาศัยความถูกต้อง ชอบธรรม ต้องตีลังกากลับ หันมาเดินไปตามครรลอง-คลองธรรมเท่านั้น ถึงอาจพอเห็นทางออก ทางรอดได้บ้าง แม้เพียงแค่รางๆ ก็ตาม...