xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

พ่อดันลูกสาว อย่างน่าเกลียด

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

อิวองกา ทรัมป์


ตะลึงกันไปทีหนึ่งแล้ว เมื่อปธน.ทรัมป์เปรยว่า ลูกสาวคนโตสุดรักสุดบูชาของเขา เก่งพอที่จะเป็นประธานของธนาคารโลกได้อย่างสบายๆ เพราะเธอคำนวณเลขเก่ง!

นั่นเป็นปีที่แล้ว ที่ประธานธนาคารโลกตัดสินใจลาออก เพราะถูกแรงกดดันจากทรัมป์ เพื่อเอาคนของตนเข้ามารับหน้าที่แทน เพราะทรัมป์ต้องการจะเปลี่ยนนโยบายของธนาคารโลก เพื่อให้ธนาคารโลกแข็งกร้าวกับจีนยิ่งขึ้น ขณะที่จีนเริ่มขยับที่จะมีบทบาทในธนาคารโลกมากขึ้น (โดยจีนเริ่มเปลี่ยนนโยบายเพิ่มบทบาทในทุกๆ องค์กรระหว่างประเทศ แทนที่จะหลีกเลี่ยงการรับบทบาทสำคัญๆ ในองค์กรนานาชาติ) และทรัมป์ต้องการให้ธนาคารโลกเลิกปล่อยกู้ให้กับจีนโดยสิ้นเชิง เพราะจีนกำลังเพิ่มความมั่งคั่ง, จึงไม่ควรมากู้จากธนาคารโลก

ประธานธนาคารโลกที่ทรัมป์อยากให้ออกนั้น เป็นคุณหมอชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี-ที่โอบามาได้เป็นผู้ผลักดันเข้ามาเป็นประธานธนาคารโลก

ก่อนที่คุณหมอจะออกจากตำแหน่งประธาน ลูกสาวหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ได้พยายามตีสนิทกับคุณหมอเพื่อขอให้เพิ่มกองทุนสำหรับช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้หญิงที่จะเริ่มเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นโครงการของอิวองกา ทรัมป์ ที่เธอหันมาจับงานนี้หลังคุณพ่อเป็นปธน.

คุณหมอเชื้อสายเกาหลีประธานธนาคารโลก ก็ให้ความร่วมมืออย่างดีกับอิวองกา แต่ก็ยังไม่วายถูกกดดันให้ลาออกก่อนกำหนด เพราะทรัมป์ต้องการคนที่เป็นสายเหยี่ยวของตนเข้ามาทำหน้าที่แทน และเขากดดันให้คุณหมอลาออก-หลังจากอีวองกาได้เงินกองทุนตามที่เธอต้องการแล้ว!

แต่การประชุมสุดยอดผู้นำ G20 และการพบกันครั้งที่ 3 ระหว่างทรัมป์และคิม จองอึน ที่มีลูกสาวหมายเลขหนึ่งเข้าไปแทรกบทบาทอย่างไม่น่าเชื่อนี้ ทำเอาผู้นำโลกหลายคนถึงกับตะลึง!

เริ่มที่โอซากากับการถ่ายรูปเป็นทางการของการประชุม ซึ่งควรจะมีก็แต่ผู้นำจริงๆ

ปรากฏว่าปธน.ทรัมป์ยอมให้อิวองกาไปยืนอยู่ติดคุณพ่อ และคั่นระหว่างคุณพ่อทรัมป์กับนายกฯ อาเบะ ผู้เป็นเจ้าภาพ

น่าสงสัยมากว่า กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น ทำไมพลาดถึงขนาดนี้ เพราะเป็นผู้จัดเจาะจงการยืนของผู้นำ ทำไมไม่เข้าจัดการไม่ให้เธอยืนในรูปได้?

อีกภาพก็เป็นการถ่ายรูปที่มีผู้นำสูงสุดและยอมให้มีรมต.ต่างประเทศเข้าร่วม ปรากฏภาพนายปอมเปโอ รมต.ต่างประเทศของอเมริกา ต้องพยายามจะแทรกเข้ามายืนข้างๆ อิวองกา และนายจาเร็ด คุชเนอร์ ที่ยืนอยู่แถวหน้าติดกับทรัมป์ จนปอมเปโอดูจะเขินๆ ว่า ที่ยืนของเขาถูก “ขโมย” ไปโดยลูกสาวและลูกเขยหมายเลขหนึ่งเสียแล้ว

สื่อต่างประเทศแทบทุกสื่อรายงานเหตุการณ์น่าเกลียดของคุณพ่อที่ดันลูกสาวนี้ ข่าวในสหรัฐฯ, อังกฤษ, ยุโรป, ออสเตรเลีย และในเอเชีย หลายคนงงมากที่อิวองกาทำตัวประหนึ่งรมต.ต่างประเทศของสหรัฐฯ ไปเสียแล้ว

ยังมีคลิปที่นำออกเผยแพร่โดยทำเนียบปธน.มาครง ของฝรั่งเศส (เขาเผยแพร่กิจกรรมของมาครงเสมอ) เห็นชัดถึงการแทรกตัวของอิวองกาเข้ามาร่วมสนทนาในท่ามกลางผู้นำ G20 ซึ่งเป็นวงสนทนาที่ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ, เป็นการยืนคุยกันอย่างไม่เป็นทางการก่อนเข้าห้องประชุมใหญ่
นางคริสติน ลาการ์ด ผอ.ไอเอ็มเอฟ
วงสนทนานี้ประกอบด้วย มาครง, นายกฯ เมย์ของอังกฤษ, นายกฯ ทรูโดของแคนาดา และผอ.ใหญ่ไอเอ็มเอฟคือ นางคริสติน ลาการ์ด

ภาพที่เห็นคือ อิวองกาสอดเข้ามาร่วมพูดคุยที่กำลังออกรส-ทำเอาผอ.ไอเอ็มเอฟหันมามองหน้าอิวองกาอย่างไม่ค่อยพอใจ คล้ายๆ จะถามว่า คุณเป็นใครกันที่แทรกเข้ามาในวงผู้นำครั้งนี้ (คริสติน ลาการ์ด เป็น “หญิงคนแรก” ในการทำงานที่แข่งกับผู้ชายเก่งๆ โดยเป็นซีอีโอหญิงคนแรกของบริษัทกฎหมายตรวจสอบ Baker & McKenzie ต่อมาเป็นรมต.คลังหญิงคนแรกของฝรั่งเศส, ตามมาด้วยผอ.ใหญ่หญิงคนแรกของไอเอ็มเอฟ, และอาทิตย์นี้ เธอได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานธนาคารกลาง ECB ของสหภาพยุโรป-ก็เป็นหญิงคนแรกในตำแหน่งนี้เช่นกัน)

และที่เขตปลอดทหารของเกาหลีเหนือ-ใต้ คุณลูกสาวหมายเลขหนึ่งและลูกเขยหมายเลขหนึ่งก็ไปเบียดอยู่กับคุณพ่อ ในช่วงถ่ายรูปประชุมกับผู้นำเกาหลีเหนือ...อิวองกาเดินตามพ่อข้ามเขตแดนไปในเกาหลีเหนือด้วย แล้วมารอการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ว่า “Surreal” (เกินจริง!) ที่ได้เข้าไปในเกาหลีเหนือ...เรียกว่า ทำหน้าที่แทนรมต.ปอมเปโอเสียอีก; และในภาพที่นั่งประชุมร่วมกับผู้นำเกาหลีเหนือ-ไม่ปรากฏภาพนายจอห์น โบลตัน เลย (ถูกส่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่พิเศษที่มองโกเลียเสียนี่) โดยมีอิวองกา และจาเร็ด มานั่นแทน

ทรัมป์ผลักดันลูกๆ (รวมทั้งอดีตภรรยา-แม่ของอิวองกา-ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นทูตประจำวาติกัน!) ให้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้นำโลก ทั้งๆ ที่ลูกโตเป็นนักธุรกิจกันแล้ว และมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจของชาติ-แม้ตอนไปเยือนอังกฤษ ลูกๆ ก็อยู่ในขบวนของทรัมป์ไปเป็นแขกของพระราชินีด้วย (ถ้าเป็นลูกเล็กๆ ที่ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่หรือนักธุรกิจ-ก็อาจอนุโลมติดตามพ่อแม่ไปในขบวนได้!)

เพราะทรัมป์ตักตวงผลประโยชน์ให้กับตระกูลของเขามากกว่าผลประโยชน์ที่ประเทศสหรัฐฯ จะได้นั่นเอง

เรายังจำกันได้ที่อดีตผู้นำคนหนึ่งของเรา ผลักดันเอาลูกชายไปพบผู้นำทำเนียบขาว ก็คงเป็นแบบทรัมป์นั่นแหละ คือ หวังสานผลประโยชน์ของธุรกิจครอบครัวมากกว่าผลประโยชน์ของชาตินั่นเอง!
กำลังโหลดความคิดเห็น