ตะลึงกันไปทั่วสหรัฐฯ และจริงๆ ทั่วทั้งโลก กับปรากฏการณ์ที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้บุกเข้าทำการจับกุมดาราใหญ่ๆ ที่คฤหาสน์หรูแถวบ้านพักฮอลลีวูดในเวลาฟ้าสาง เพื่อเก็บหลักฐานที่ดาราเหล่านี้ได้ว่าจ้างนายหน้าเป็นจำนวนเงินหลายแสนดอลลาร์ เพื่อให้นายหน้าไปดำเนินการให้ลูกของดาราผู้มั่งคั่งเหล่านี้ได้ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดีเด่น Ivy League เช่น Harvard, Yale และยังมี Stanford, U.S.C., Georgetown เป็นต้น
นายหน้าตัวการนี้ได้ยอมสารภาพ (ซึ่งก็เพื่อลดโทษของตัวเอง) โดยให้ความร่วมมือกับการสืบสวนสอบสวนของกระทรวงยุติธรรม ยอมเปิดเผยว่าได้กระทำการมาประมาณ 10 ปี และสามารถโกงการสอบเข้าจนลูกค้าของเขาได้ผ่านเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดีเด่นเหล่านี้ ถึงเกือบ 800 คน
วิธีการก็มีหลายแบบจากการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยด้วย โดยนายหน้าจะได้ค่าจ้างบางที่เป็นแสนดอลลาร์ ไม่นับเป็นหลายหมื่นเหรียญที่เขาได้ไปจ่ายให้เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยบางคน
วิธีการบางอย่างก็พิสดารเหลือเชื่อ ว่าทำไมมันช่างคล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น การให้คนปลอมตัวเป็นเด็ก (ที่พ่อแม่ว่าจ้าง) เพื่อเข้านั่งสอบทาง SAT และข้อสอบอื่นๆ ซึ่งทำให้เด็ก (ที่พ่อแม่ว่าจ้าง) จะได้คะแนนสูงๆ ทั้งๆ ที่ตัวเด็กเองอาจไม่เก่งเท่ากับตัวปลอมที่มานั่งสอบแทน คำถามคือ ทำไมการตรวจสอบจึงหละหลวมให้ตัวปลอมเข้ามาสอบแทน ก็คงเป็นที่ระบบที่ตรวจสอบไม่เข้มงวดนั่นเอง แต่ที่อเมริกาไม่ถึงกับเหมือนที่ประเทศไทย ที่มีการแอบสวมนาฬิกาที่สามารถส่งข้อมูลกับคนข้างนอกที่จะบอกคำตอบที่ถูกต้องให้กับนักเรียนที่จ่ายเงินเพื่อขอมีคำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งประเทศไทยก็มีการจับได้บ้าง และรวมทั้งที่อินเดียก็มี พวกพ่อแม่ที่ปีนกำแพงเพื่อแอบบอกคำตอบที่ถูกต้องให้กับลูกของตนที่กำลังนั่งสอบ
นายหน้ายอมรับและเปิดเผยอีกวิธีคือ การเปลี่ยนคะแนน SAT ของเด็กที่จ่ายเงิน หรือแก้ในกระดาษคำตอบดื้อๆ ก็มี ให้กลายเป็นคำตอบที่ถูกต้อง วิธีนี้ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อรับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยแน่นอน
อีกวิธีก็พิสดารเช่นกัน คือ ใช้ Quota ของนักกีฬาดีเด่น กรณีลูกสาวดาราคนหนึ่ง ไปทำเอกสารปลอมว่า ตนเองเป็นนักกีฬาฟุตบอลหญิงของโรงเรียนมัธยมปลาย ทั้งๆ ที่เด็กหญิงคนนี้เล่นฟุตบอลไม่เป็นด้วยซ้ำ แล้วเอารูปทีมฟุตบอลหญิงของโรงเรียนมัธยมปลาย มาตกแต่งใส่หน้าของเด็ก (ลูกค้า) แปะเข้าไป...เท่านั้นเอง มหาวิทยาลัยดีเด่นที่อยากได้นักกีฬามาเสริมทีมกีฬาของตน ก็จะรีบรับใน Quota ทันที ก็เช่นกัน หัวหน้าแผนกกีฬาของมหาวิทยาลัยยอมร่วมมือเพื่อแลกกับเงินค่าจ้างเป็นแสนเหรียญ และตัวหัวหน้านี้ก็กำลังถูกจับอยู่ในวันนี้
เราเคยได้ยินเรื่อง Tiger Woods สอบเข้า Stanford ได้ ก็ด้วยระบบ Quota นักกีฬานี้แหละ แต่ไทเกอร์ วูดส์ เรียนไม่จบ เพราะหันไปเป็นนักกอล์ฟอาชีพดีกว่าเรียนหนังสือ
อีกวิธีก็คือ ให้ผ่านการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ว่า เป็นผู้ที่อาจมีลักษณะไม่ปกติ แต่มีความพยายามและน่าจะศึกษาในระดับปริญญาตรีได้ ก็เข้าข่าย Quota เด็กน่าสงสารที่มหาวิทยาลัยไม่ควรปิดโอกาส
ยังมีเรื่องกองทุนหรือมูลนิธิมหาวิทยาลัย เพื่อช่วยค่าเล่าเรียนของเด็กหัวดีที่ยากจน, ดาราหรือผู้มั่งคั่ง บางทีในครอบครัวเขา (เกือบ 100% เป็นผิวขาว) ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ และไม่มีโอกาสเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ในช่วงต่อมาประสบผลสำเร็จในธุรกิจหรือการแสดง มีเงินทองมากมาย ก็อยากให้ลูกตนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนแรกของตระกูล ดังนั้น การยอมควักเงินจ่ายแค่ 1-2 ล้านเหรียญเข้ากองทุนเหล่านี้ เป็นการลงทุนที่ง่ายมาก และลูกก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษในฐานะลูกของผู้มีอุปการคุณ เข้า Harvard ได้สบายๆ (แน่นอน ลูกก็ต้องหัวไม่ขี้เท่อนัก เพียงแต่อาจไม่มีผลการเรียนดีเด่นเท่าคนอื่นๆ)
มีเรื่องเล่าถึงนักเรียนไทยบางคนที่แม่พกนาฬิกาโรเล็กซ์ (เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว) ไปเป็นกะตั๊ก เพื่อไปแจกผู้บริหารมหาวิทยาลัยดีเด่นเพื่อให้ลูกชายเข้าเรียนใน Harvard Law School!
รวมทั้งเพิ่งเปิดเผยออกมาว่า ลูกเขยหมายเลขหนึ่งแบบ Jared Kushner-สามีของ Ivanka Trump นั้น จบ Harvard Law School เพราะคุณพ่อ (เจ้าพ่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ New Jersey) บริจาคให้มหาวิทยาลัย Harvard ถึง 2 ล้าน 5 แสนเหรียญ ลูกก็เลยเข้าเรียนได้ (ในฐานะลูกผู้มีอุปการคุณ) และรวมทั้ง Ivanka ก็เรียนที่เดียวกับคุณพ่อทรัมป์ที่ Wharton เพราะพ่อบริจาคให้โรงเรียนเก่าจนลูกแทบทุกคนเรียนจบที่นี่ รวมทั้งทรัมป์เองก็ไม่ใช่ย่อย พ่อของเขาเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่ Queens ใน NYC ที่เลี่ยงภาษีโดยจดซื้อชื่อสินทรัพย์บ้าน, ที่ดิน, คอนโดฯ เป็นของลูกชาย จนทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ มีสินทรัพย์เป็น Millionnaire เศรษฐีเงินล้านดอลลาร์ เมื่ออายุแค่ 8 ขวบ และพ่อก็บริจาคเงินเข้ากองทุนมหาวิทยาลัยที่ทรัมป์จะไปเรียนด้วย
ทนายความ Mike Cohen ของทรัมป์ได้ให้การแก่กรรมาธิการตรวจสอบของสภาล่าง เมื่อวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ โดยให้การว่า ปธน.ทรัมป์ สั่งให้เขาทำจดหมายไปยังสถานศึกษาทุกแห่งที่เขาเคยเรียน แจ้งผู้บริหารสถานศึกษาเหล่านั้นไม่ให้เผยแพร่เรื่อง Grades ของเขาทั้งหมด เพราะเป็นความลับ!! เกรงว่านักข่าวจะไปขอข้อมูล จึงรีบดักทางไว้ก่อน
บรรดานักการเมืองผิวสีและลาตินโน่ ต่างออกมาประณามและขอให้มีการขุดคุ้ยมากขึ้นเรื่องการโกงสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะน่าจะมีนายหน้าหลายคนที่หากินแบบนี้ และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้ว่าจ้างก็คงมีมากกว่าที่ถูกจับประมาณ 50 คนขณะนี้
ที่สำคัญคือ เด็กที่เข้าไปด้วยเส้นใหญ่หรือโกงการสอบคัดเลือก (โดยจ่ายเงิน) ไปกินที่และโอกาสของคนกลุ่มน้อย ที่อุตสาหะและอาจเป็นช้างเผือกที่ผ่าเหล่าจนน่าจะได้เข้าเรียนที่ตักศิลาดังๆ เหล่านี้ ก็กลับถูกเบียดเพราะที่เต็มและพลาดโอกาสไป
แต่ที่ยังไม่ปรากฏในเรื่องฉาวที่สหรัฐฯ ขณะนี้ก็คือ นักการเมืองโดยเฉพาะเผด็จการ ที่เกิดขึ้นในช่วง Cold War จากประเทศทั้งในเอเชีย, อเมริกาใต้, แอฟริกา จะมีจดหมายสนับสนุน (Recommendations) แก่ลูกๆ ของเขา ให้เข้าเรียนที่ MIT หรือ Harvard ซึ่งก็จะได้รับ Favor ทันที เพราะบรรดานักการเมืองเผด็จการเหล่านี้ บางคนมาจากกองทัพหรือคุมกองทัพ ซึ่งเป็นผู้อนุมัติงบซื้ออาวุธก้อนโต ซึ่งเป็นอาวุธอเมริกาและสร้างงานในอเมริกา
มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในยุค 1960’s ซึ่งทำให้นักเรียนทุน ก.พ. และทุนอื่นๆ ที่ได้ทุนมาอย่างยากลำบาก ต่างดูถูกเด็กเส้นลูกนายพลเหล่านี้ บางคนมาจากประเทศไทย!!