“บิ๊กตู่” ยันไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ”พระพุทธะอิสระ” แต่ที่ขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ เพราะทำไม่เหมาะสม ไม่ได้เข้าข้างใคร ขอให้หยุดบิดเบือนสร้างความแตกแยก ด้าน ปปป.ลุยสอบทุจริตเงินทอนวัดล็อต 4 เจออีก 26 แห่งทั่วประเทศ เสียหายกว่า 100 ล้าน ด้านทีมทนาย "พระพรหมดิลก" เตรียมร้องขอไต่สวนปล่อยชั่วคราว-เพิกถอนหมายจับ "สุวพันธ6N"เผยไล่ออกข้าราชการพศ.ระดับ 8 ไปแล้ว 4 คน ส่วน พศ. เตรียมถวายรายงานความคืบหน้า สมเด็จพระสังฆราช 30 พ.ค.นี้
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มการเมืองตั้งข้อสังเกตเรื่องนายกรัฐมนตรีกล่าวขอโทษประชาชนแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เข้าจับกุม นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ พระพุทธะอิสระ ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันหรือไม่ ว่า การกล่าวขอโทษของนายกฯ ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ขอโทษเพราะเจ้าหน้าที่ทำไม่เหมาะสม ไม่ว่าผู้ต้องหาจะเป็นใครก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วจะถูกตัดสินโดยศาล รวมทั้งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตวัด หรือสังฆาวาส ซึ่งอาจทำให้กระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนได้ โดยได้ตักเตือนให้เจ้าหน้าที่ยึดแนวทางปฏิบัตินี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากให้นำไปบิดเบือน สร้างเรื่องกันต่อไปโดยเฉพาะกลุ่มการเมืองและสื่อมวลชนบางสำนัก
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ กับนายสุวิทย์ และไม่เคยคิดนำเรื่องส่วนตัวไปปะปนกับการบริหารบ้านเมือง พร้อมทั้งย้ำว่า รัฐบาลยึดหลักกฎหมาย และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย หากกระทำผิดต้องได้รับโทษเช่นเดียวกัน
ปปป.ลุยสอบเงินทอนวัดล็อต 4
วานนี้ ( 27 พ.ค.) มีรายงานข่าวจาก กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการทุจริตงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนา ล็อตที่ 4 ช่วงระหว่างปี 54 - 59 มีเป้าหมาย 60 วัดทั่วประเทศ โดยการตรวจสอบ ดำเนินการไปแล้ว ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 40 วัด พบเข้าข่ายทุจริต 26 วัด แบ่งเป็น โซนภาคเหนือ 3 วัด โซนภาคใต้ 4 วัด โซนภาคกลาง 16 วัด โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 วัด และโซนภาคตะวันออก 2 วัด ความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท
หลังจากนี้ จะมีการประชุมสรุปผลให้ พล.ต.ต.กมล เหรีญราชา ผบก.ปปป. ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ นอกจากนี้ ต้องรอ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. ในฐานะผู้เสียหาย หรือตัวแทนหน่วยงานที่เสียหาย เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ให้ดำเนินคดีการทุจริตเงินทอนวัดล็อต 4 จากนั้นนำพยานหลักฐานทั้งหมด สรุปสำนวนส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามขั้นตอน ไม่เกินเดือน ก.ย.61
ในวันเดียวกันนี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึง กรณีทุจริตงบประมาณ พศ. ของอดีตพระผู้ใหญ่ว่า เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามข้อมูล พยาน หลักฐานที่มีอยู่ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลต้องการเน้น คือ เรื่องการให้ความเป็นธรรม ดำเนินการด้วยการไม่มีอคติ ซึ่งในส่วนของข้าราชการ พศ. ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และถือว่าเป็นต้นทางของงบฯ นั้น ทาง พศ.ก็มีการดำเนินการมาโดยตลอด จากข้อมูลที่ พศ.รายงานมา มีข้าราชการ พศ. เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง 15 ราย และทาง พศ. มีการประชุม อ.ก.พ.กระทรวง เพื่อพิจารณาโทษข้าราชการทุกสัปดาห์ ซึ่งล่าสุด พศ.ได้รายงานมาแล้วว่า ทาง อ.ก.พ.กระทรวง มีมติไล่ออกข้าราการพศ. ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้แล้ว 4 ราย เป็นข้าราชการระดับ 8 ระดับชำนาญการ และชำนาญการพิเศษ ส่วนอีก 11 ราย ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา ตนได้ไปดูงานคณะสงฆ์ ในพื้นที่ต่างๆ พบว่าการดำเนินการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา มีความคืบหน้าไปมาก และหลังจากนี้เชื่อว่าทางมหาเถรสมาคม (มส.) จะมีการออกระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆ ในการควบคุมดูแลคณะสงฆ์เพิ่มมากขึ้น
ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมตัวพระพุทธะอิสระ นั้น ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ได้ออกมาพูดชัดเจนแล้ว
ด้านนายสิปป์บวร แก้วงาม ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ในฐานะรองโฆษก พศ. กล่าวว่า ในการประชุมมส. วันที่ 30 พ.ค. นี้ จะถวายรายงานต่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) และแจ้งที่ประชุม มส. เพื่อทราบถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่ ส่วนกรณีที่ชุดสืบสวนกองปราบฯ มีข้อมูล พระผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหาบางรูป มีพฤติกรรมเสพเมถุน มีสัมพันธ์กับสีกาด้วยนั้น ตนยังไม่ได้รับรายงาน คงต้องรอให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนเสร็จสิ้น จนกว่าจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน
ส่วนในเรื่องที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงห่วงใยสถานการณ์พระพุทธศาสนา และทรงกังวลต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนานั้น พศ. จะเร่งชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชน ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปว่า เป็นเรื่องของตัวบุคคล โดยเรื่องยังอยู่ในการพิจารณาคดี ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และศาล จนกว่าจะมีผลสรุปออกมาชี้ชัดว่ามีความผิด จริงหรือไม่
ด้านนายโกศล ใสสุวรรณ ทนายความ พระพรหมดิลก กล่าวว่า กำลังดูข้อ กม. เพื่อทำคำร้องขอเพิกถอนหมายจับ และเตรียมทำคำร้อง ขอไต่สวนปล่อยตัวชั่วคราว พระพรหมดิลก และ พระอรรถกิจโสภณ ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เร็วๆ นี้ เพราะทางทีมทนายมองว่า ขณะนี้มีพยานหลักฐานของตำรวจอย่างเดียว จึงต้องมีการไต่สวน และรวบรวมหลักฐานของทางวัดเข้าไปประกอบด้วย ขณะนี้ทางพระท่านเหมือนขึ้นเวทีชกมวยแล้วถูกใส่กุญแจมือ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่าย ไม่สามารถหยิบเอกสารมาให้กรรมการ คือ ศาลได้ดูเลย ทางทีมทนาย จึงจำเป็นต้องดำเนินการดังกล่าว
สตม.ขึ้นแบล็กลิสต์ 2 พระผู้ใหญ่
พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ขึ้นบัญชีดำ พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ลงในระบบตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ ยังไม่พบว่าพระทั้งสองรูปเดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทยผ่านทางสายการบินพาณิชย์อย่างแน่นอน เพราะแม้จะเดินทางก่อนมีหมายจับ หรือยังไม่มีหมายจับ เมื่อมีเช็กอิน หรือเดินทางด้วยสายการบิน ระบบก็จะแจ้งสถานะทันทีว่า มีรายชื่อบุคคลดังกล่าวเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่ ไม่ว่าจะในสถานะพระ หรือเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นฆราวาส ระบบการตรวจสอบในปัจจุปันตรวจสอบข้อมูลทางชีวภาพ หรือระบบไบโอเมตติก
ส่วนกรณีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อาจเดินทางออกนอกประเทศโดยใช้เครื่องบินส่วนตัวนั้น มองว่าแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องจากการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัว ก็ต้องมีขั้นตอนขออนุญาต และต้องแจ้ง ตม.ด้วย อีกทั้งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ต้องมีการตรวจสอบการเข้า-ออกประเทศอยู่แล้ว เพราะอาจเป็นช่องทางของอาชญากรข้ามชาติได้ ซึ่งมองว่าวิธีนี้ทำยาก และเสี่ยงต่อการถูกจับกุมได้ง่าย แต่ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการหลบหนีทางช่องทางธรรมชาติ เนื่องจากตามแนวชายแดนมีระยะทางหลายกิโลเมตร แต่ตรงนี้ก็มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงคอยดูแลอยู่แล้ว เชื่อว่าไม่ปล่อยปละละเลยอย่างแน่นอน
"พุทธะอิสระ"อาการปวดหลังกำเริบ
นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการควบคุมตัว นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ผู้ต้องหาคดี อั้งยี่ ซ่องโจร และปลอมพระปรมาภิไธย รวมถึงอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ผู้ต้องหาคดีทุจริตเงินทอนวัด ว่า ทางเรือนจำได้แยกทั้ง 6 ราย จากแดนแรกรับ ไปคุมขังยังแดน 3- 4-6 เพื่อลดการเผชิญหน้ากัน ในส่วนของอดีตพระพุทธะอิสระ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ แยกอดีตพระเถระชั้นใหญ่ทั้ง 5 รูป กระจายไปคุมขังยังแดนต่างๆ เพื่อความเหมาะสม
สำหรับในช่วงเช้าวานนี้ ผู้ต้องขังทั้ง 6 ราย ก็ปฏิบัติกิจวัตรส่วนตัวตามปกติ รับประทานเช้าที่เรือนจำจัดให้ ซึ่งเป็นข้าวต้ม แต่มื้อเย็นทั้ง 6 ราย ไม่ได้รับประทานอาหาร จากนั้นก็พักผ่อน ทำกิจกรรมภายในแดนของตนเอง ซึ่งวานนี้เป็นวันหยุดราชการ เรือนจำไม่ได้เปิดให้เยี่ยมญาติ อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 5 รูป ยังคงมีความวิตกกังวล อยู่ระหว่างการประตัว สำหรับอดีตพระพุทธะอิสระ พบว่ามีอาการปวดหลังค่อนนข้างมาก ต้องนั่งรถเข็น เนื่องจากมีโรคประจำตัว คือ เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเข้าจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ ว่า เป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสม และอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจมีความผิดในลักษณะเหยียดหยามศาสนา ตามบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 และเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรธน. มาตรา 27 , 29 วรรค 2, 31 และ มาตรา 67 ซึ่งถือได้ว่า เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อดีตพระพุทธะอิสระ ไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี และไปขึ้นศาลในคดีความต่างๆ เรื่อยมาทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ พึงที่จะต้องมีหมายเรียกผู้ต้องหามาสอบปากคำก็เพียงพอแล้ว มิใช่กองกำลังเข้าจับกุม ทั้งนี้ ตนจะไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อเสนอแนะต่อนายกฯ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน โดยไม่จำเป็น หรือเกินสมควรแก่เหตุ ในวันนี้ (28 พ.ค.)
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มการเมืองตั้งข้อสังเกตเรื่องนายกรัฐมนตรีกล่าวขอโทษประชาชนแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เข้าจับกุม นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ พระพุทธะอิสระ ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันหรือไม่ ว่า การกล่าวขอโทษของนายกฯ ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ขอโทษเพราะเจ้าหน้าที่ทำไม่เหมาะสม ไม่ว่าผู้ต้องหาจะเป็นใครก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วจะถูกตัดสินโดยศาล รวมทั้งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตวัด หรือสังฆาวาส ซึ่งอาจทำให้กระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนได้ โดยได้ตักเตือนให้เจ้าหน้าที่ยึดแนวทางปฏิบัตินี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากให้นำไปบิดเบือน สร้างเรื่องกันต่อไปโดยเฉพาะกลุ่มการเมืองและสื่อมวลชนบางสำนัก
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ กับนายสุวิทย์ และไม่เคยคิดนำเรื่องส่วนตัวไปปะปนกับการบริหารบ้านเมือง พร้อมทั้งย้ำว่า รัฐบาลยึดหลักกฎหมาย และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย หากกระทำผิดต้องได้รับโทษเช่นเดียวกัน
ปปป.ลุยสอบเงินทอนวัดล็อต 4
วานนี้ ( 27 พ.ค.) มีรายงานข่าวจาก กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการทุจริตงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนา ล็อตที่ 4 ช่วงระหว่างปี 54 - 59 มีเป้าหมาย 60 วัดทั่วประเทศ โดยการตรวจสอบ ดำเนินการไปแล้ว ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 40 วัด พบเข้าข่ายทุจริต 26 วัด แบ่งเป็น โซนภาคเหนือ 3 วัด โซนภาคใต้ 4 วัด โซนภาคกลาง 16 วัด โซนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 วัด และโซนภาคตะวันออก 2 วัด ความเสียหายประมาณ 100 ล้านบาท
หลังจากนี้ จะมีการประชุมสรุปผลให้ พล.ต.ต.กมล เหรีญราชา ผบก.ปปป. ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ นอกจากนี้ ต้องรอ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. ในฐานะผู้เสียหาย หรือตัวแทนหน่วยงานที่เสียหาย เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ให้ดำเนินคดีการทุจริตเงินทอนวัดล็อต 4 จากนั้นนำพยานหลักฐานทั้งหมด สรุปสำนวนส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามขั้นตอน ไม่เกินเดือน ก.ย.61
ในวันเดียวกันนี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึง กรณีทุจริตงบประมาณ พศ. ของอดีตพระผู้ใหญ่ว่า เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามข้อมูล พยาน หลักฐานที่มีอยู่ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลต้องการเน้น คือ เรื่องการให้ความเป็นธรรม ดำเนินการด้วยการไม่มีอคติ ซึ่งในส่วนของข้าราชการ พศ. ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และถือว่าเป็นต้นทางของงบฯ นั้น ทาง พศ.ก็มีการดำเนินการมาโดยตลอด จากข้อมูลที่ พศ.รายงานมา มีข้าราชการ พศ. เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง 15 ราย และทาง พศ. มีการประชุม อ.ก.พ.กระทรวง เพื่อพิจารณาโทษข้าราชการทุกสัปดาห์ ซึ่งล่าสุด พศ.ได้รายงานมาแล้วว่า ทาง อ.ก.พ.กระทรวง มีมติไล่ออกข้าราการพศ. ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้แล้ว 4 ราย เป็นข้าราชการระดับ 8 ระดับชำนาญการ และชำนาญการพิเศษ ส่วนอีก 11 ราย ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา ตนได้ไปดูงานคณะสงฆ์ ในพื้นที่ต่างๆ พบว่าการดำเนินการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา มีความคืบหน้าไปมาก และหลังจากนี้เชื่อว่าทางมหาเถรสมาคม (มส.) จะมีการออกระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆ ในการควบคุมดูแลคณะสงฆ์เพิ่มมากขึ้น
ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมตัวพระพุทธะอิสระ นั้น ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ได้ออกมาพูดชัดเจนแล้ว
ด้านนายสิปป์บวร แก้วงาม ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ในฐานะรองโฆษก พศ. กล่าวว่า ในการประชุมมส. วันที่ 30 พ.ค. นี้ จะถวายรายงานต่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) และแจ้งที่ประชุม มส. เพื่อทราบถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่ ส่วนกรณีที่ชุดสืบสวนกองปราบฯ มีข้อมูล พระผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหาบางรูป มีพฤติกรรมเสพเมถุน มีสัมพันธ์กับสีกาด้วยนั้น ตนยังไม่ได้รับรายงาน คงต้องรอให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนเสร็จสิ้น จนกว่าจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน
ส่วนในเรื่องที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงห่วงใยสถานการณ์พระพุทธศาสนา และทรงกังวลต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนานั้น พศ. จะเร่งชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชน ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปว่า เป็นเรื่องของตัวบุคคล โดยเรื่องยังอยู่ในการพิจารณาคดี ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และศาล จนกว่าจะมีผลสรุปออกมาชี้ชัดว่ามีความผิด จริงหรือไม่
ด้านนายโกศล ใสสุวรรณ ทนายความ พระพรหมดิลก กล่าวว่า กำลังดูข้อ กม. เพื่อทำคำร้องขอเพิกถอนหมายจับ และเตรียมทำคำร้อง ขอไต่สวนปล่อยตัวชั่วคราว พระพรหมดิลก และ พระอรรถกิจโสภณ ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เร็วๆ นี้ เพราะทางทีมทนายมองว่า ขณะนี้มีพยานหลักฐานของตำรวจอย่างเดียว จึงต้องมีการไต่สวน และรวบรวมหลักฐานของทางวัดเข้าไปประกอบด้วย ขณะนี้ทางพระท่านเหมือนขึ้นเวทีชกมวยแล้วถูกใส่กุญแจมือ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่าย ไม่สามารถหยิบเอกสารมาให้กรรมการ คือ ศาลได้ดูเลย ทางทีมทนาย จึงจำเป็นต้องดำเนินการดังกล่าว
สตม.ขึ้นแบล็กลิสต์ 2 พระผู้ใหญ่
พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ขึ้นบัญชีดำ พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ลงในระบบตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ ยังไม่พบว่าพระทั้งสองรูปเดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทยผ่านทางสายการบินพาณิชย์อย่างแน่นอน เพราะแม้จะเดินทางก่อนมีหมายจับ หรือยังไม่มีหมายจับ เมื่อมีเช็กอิน หรือเดินทางด้วยสายการบิน ระบบก็จะแจ้งสถานะทันทีว่า มีรายชื่อบุคคลดังกล่าวเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่ ไม่ว่าจะในสถานะพระ หรือเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นฆราวาส ระบบการตรวจสอบในปัจจุปันตรวจสอบข้อมูลทางชีวภาพ หรือระบบไบโอเมตติก
ส่วนกรณีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อาจเดินทางออกนอกประเทศโดยใช้เครื่องบินส่วนตัวนั้น มองว่าแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องจากการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัว ก็ต้องมีขั้นตอนขออนุญาต และต้องแจ้ง ตม.ด้วย อีกทั้งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ต้องมีการตรวจสอบการเข้า-ออกประเทศอยู่แล้ว เพราะอาจเป็นช่องทางของอาชญากรข้ามชาติได้ ซึ่งมองว่าวิธีนี้ทำยาก และเสี่ยงต่อการถูกจับกุมได้ง่าย แต่ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการหลบหนีทางช่องทางธรรมชาติ เนื่องจากตามแนวชายแดนมีระยะทางหลายกิโลเมตร แต่ตรงนี้ก็มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงคอยดูแลอยู่แล้ว เชื่อว่าไม่ปล่อยปละละเลยอย่างแน่นอน
"พุทธะอิสระ"อาการปวดหลังกำเริบ
นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการควบคุมตัว นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ผู้ต้องหาคดี อั้งยี่ ซ่องโจร และปลอมพระปรมาภิไธย รวมถึงอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ผู้ต้องหาคดีทุจริตเงินทอนวัด ว่า ทางเรือนจำได้แยกทั้ง 6 ราย จากแดนแรกรับ ไปคุมขังยังแดน 3- 4-6 เพื่อลดการเผชิญหน้ากัน ในส่วนของอดีตพระพุทธะอิสระ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ แยกอดีตพระเถระชั้นใหญ่ทั้ง 5 รูป กระจายไปคุมขังยังแดนต่างๆ เพื่อความเหมาะสม
สำหรับในช่วงเช้าวานนี้ ผู้ต้องขังทั้ง 6 ราย ก็ปฏิบัติกิจวัตรส่วนตัวตามปกติ รับประทานเช้าที่เรือนจำจัดให้ ซึ่งเป็นข้าวต้ม แต่มื้อเย็นทั้ง 6 ราย ไม่ได้รับประทานอาหาร จากนั้นก็พักผ่อน ทำกิจกรรมภายในแดนของตนเอง ซึ่งวานนี้เป็นวันหยุดราชการ เรือนจำไม่ได้เปิดให้เยี่ยมญาติ อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 5 รูป ยังคงมีความวิตกกังวล อยู่ระหว่างการประตัว สำหรับอดีตพระพุทธะอิสระ พบว่ามีอาการปวดหลังค่อนนข้างมาก ต้องนั่งรถเข็น เนื่องจากมีโรคประจำตัว คือ เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเข้าจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ ว่า เป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสม และอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจมีความผิดในลักษณะเหยียดหยามศาสนา ตามบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 และเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรธน. มาตรา 27 , 29 วรรค 2, 31 และ มาตรา 67 ซึ่งถือได้ว่า เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อดีตพระพุทธะอิสระ ไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี และไปขึ้นศาลในคดีความต่างๆ เรื่อยมาทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ พึงที่จะต้องมีหมายเรียกผู้ต้องหามาสอบปากคำก็เพียงพอแล้ว มิใช่กองกำลังเข้าจับกุม ทั้งนี้ ตนจะไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อเสนอแนะต่อนายกฯ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน โดยไม่จำเป็น หรือเกินสมควรแก่เหตุ ในวันนี้ (28 พ.ค.)