ถ้ามองกันที่ “ผล” ไม่ได้มองที่ “เหตุ” ...คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า การที่คุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” เธอเลือกที่จะหนีไปอย่างเยือกเย็นน์น์น์-หนักแน่นน์น์น์-และสง่างามม์ม์ม์ม์คราวนี้ อย่างน้อย...ก็ทำให้เหตุการณ์บ้านเมือง มันพอเรียบๆ นิ่งๆ ต่อไปได้มั่ง คือถ้าลองจินตนาการถึงภาพที่เธอต้อง “คุก-คุก-คุก” ไหล่ตก คอตก หูตก (เพราะน้ำข้างซ้าย หรือข้างขวาเอียงไป-เอียงมาก็แล้วแต่) แบบเดียวกับรัฐมนตรี “ภูมิ” หรือรัฐมนตรี “บุญทรง” ลูกน้องผู้รับใช้ใกล้ชิดอย่างซื่อสัตย์ ซื่อตรง จนตราบวินาทีสุดท้ายที่ต้องถอดสูท ถอดไท เดินเซื่องๆ เข้าห้องขัง อะไรต่อมิอะไรมันคงต้องวุ่นๆ ไม่มากก็น้อยอยู่พอสมควรเหมือนกัน...
คือแค่ขนาดระดับ “ไผ่ ดาวดิน” เท่านั้น...แม้ตราบเท่าทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เต็มไปด้วยผู้รัก ผู้ห่วงใย ที่เดินเข้า เดินออก เดินสายออกเยี่ยมทั้งในประเทศ ต่างประเทศ อย่างชนิดไม่ขาดสาย หยิบเอาความทุกข์ระทม ความอึดอัดคับข้องใจมาพูดจาว่ากล่าว จนอะไรที่ “จบ” มันยิ่ง “ไม่จบ” หนักขึ้นไปใหญ่ แม้ลงทุน “สารภาพ” ไปแล้วก็ตามที แต่ถ้าลองเป็นถึงระดับคุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” อดีตนายกฯ และน้องสาวแท้ๆ ของอดีตนายกฯ ผู้สถาปนา “ระบอบทักษิณ” ขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน ชนิดถึงขั้นหวิดๆ ครอบงำประเทศไทยได้แทบทั้งประเทศ ไม่เพียงแต่ผู้รัก ผู้ห่วงใย โดยปกติธรรมดาเท่านั้น ผู้ที่หลงใหลได้ปลื้ม ผู้ที่หมกมุ่นมัวเมากับ “ผลประโยชน์ต่างตอบแทน” แบบได้มาและเสียไป มันคงไม่น้อยไปกว่า “ไผ่ ดาวดิน” ประมาณ สิบเท่า ยี่สิบเท่า หรืออาจถึงร้อยเท่าเอาเลยก็ไม่แน่!!!
และบรรดาผู้คนเหล่านี้...จะไปใช้เหตุ ใช้ผล ใช้มาตรฐานทางศีลธรรม คุณธรรม แบบไหน อย่างไรก็แล้วแต่ มันคงไม่ถึงกับถนัดมากมายซักเท่าไหร่ คือถ้าลองได้ “หลง” ซะอย่างแล้ว หรือได้ “ผลประโยชน์ต่างตอบแทน” ซะอย่างแล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะมาตรฐานทางกฎหมายเท่านั้น กระทั่งมาตรฐานทางกฎแห่งกรรม เผลอๆ...อาจ “เอาไม่อยู่” เอาเลยก็เป็นได้ เมื่อไหร่ที่เห็นภาพ “ผู้หญิงตัวน้อยๆ” ที่ถูก “สร้างภาพ” หรือถูก “ปั่นกระแส” มาเป็นปีๆ ให้เป็นอะไรที่แกร่งแสนแกร่ง ไม่น้อยกว่าวีรสตรีชาวพม่าอย่าง “อองซาน ซูจี” ต้องยืนเกาะลูกกรง ส่งสายตาละห้อย ปาดน้ำตาป้อยๆ ยิ่งกว่าหนังอินเดียเรื่องธรณีกรรแสง อะไรประมาณนั้น ไม่ว่าใครจะกล่าวบรรยาย อรรถาธิบายถึงความถูกต้อง ความดี-ความชั่ว ตามแบบฉบับของกฎหมาย หรือของกฎแห่งกรรมก็ตามที มีแต่ต้องออกหูซ้าย ทะลุร่วงออกไปทางหูขวาไปด้วยกันทั้งสิ้น เหลือแต่ “อารมณ์ความรู้สึก” ที่ถูก “ปรุงแต่ง” อยู่ภายใน “ตัวกู-ของกู” ล้วนๆ อันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ออกไปในแนวอึดอัด คับข้องใจ คั่งแค้นอาฆาตพยาบาท พอที่จะ “ระบาย” ออกมาเป็นความไม่สงบเรียบร้อย ความปั่นป่วน วุ่นวาย ได้ทุกเมื่อ...
แต่ต้องถือเป็น “โชคดี” ที่จะเป็น “พระสยามเทวาธิราช” หรือพระอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่...เกิดไป “ดลใจ” ให้คุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” ขณะหลับ หรือขณะตื่น ก็มิอาจทราบได้ ตัดสินใจ “เผ่นหนี” ไปอย่างเยือกเย็น หนักแน่น สง่างามม์ม์ม์ ดังที่ทราบๆ กันแล้วโดยทั่วไป แม้เคยให้สัมภาษณ์ “CNN” หรือเคยให้คำยืนยันกับโลกทั้งโลกว่ายังไงๆ...เธอไม่คิดจะหนีแน่ๆ ชนิดแทบไม่ต้องพูดถึงคำสัตย์ คำยืนยัน ที่เธอเคยให้ (หลอก) เอาไว้กับคนไทยคราวแล้ว คราวเล่า การหนี...ที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ทรยศ” ต่อคำพูดตัวเอง ต่อชาวไทย และชาวโลก แถมแม้แต่ลูกน้องผู้รับใกล้ชิด ซื่อสัตย์ ซื่อตรง จนตราบวินาทีสุดท้าย อย่างรัฐมนตรี “ภูมิ” หรือรัฐมนตรี “บุญทรง” ยังอาจถือว่าเข้าข่ายผู้ที่ถูกทรยศตามไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็น “รายจ่าย” ที่เธอต้องแลกกับการตัดสินใจงัดเอา “กลยุทธ์ที่ 36” ของคัมภีร์อี้จิงมาใช้ คือเลือกที่จะ “หนี” ไว้ก่อน...
สำหรับคนที่มีเงิน-มีทอง หรือชอบเงิน-ชอบทอง... “รายจ่าย” ที่ว่านี้ อาจถือเป็นเรื่อง “กระจอก” เอามากๆ เพราะขนาดเงินประกัน 30 ล้าน ยังยอมแลกกับการหนีโดยไม่เสียดม เสียดาย อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับคนที่ไม่มีเงิน มีทอง หรือแม้จะมีก็ตาม แต่อาจเห็นว่า “เกียรติยศ” นั้น อาจมีคุณค่าราคามิใช่น้อย อันนี้...ต้องถือเป็นรายจ่ายระดับอภิมหาศาลอยู่พอสมควรทีเดียว ไม่งั้น...บางรายเขาคงไม่ถึงกับยึดมั่นเป็นภาษิตแบบที่พวก “ชาวดัตช์” เขาหยิบมาพูดไว้บ่อยๆ ว่า “Money lost, nothing lost; courage lost, much lost; honor lost, most lost; soul lost,all lost.” หรือ “เงินสูญ ไม่มีอะไรสูญ, ความกล้าหาญสูญ สูญมาก, เกียรติยศสูญ สูญมากที่สุด, วิญญาณสูญ สูญหมดทุกสิ่งทุกอย่าง” อะไรประมาณนั้น...
ด้วยเหตุนี้...จะเป็นอะไรที่ “ดลใจ” ให้เธอยอมสูญเสีย “รายจ่าย” ที่ว่า เพื่อแลกกับ “การหนี” คราวนี้ คงต้องไปถามเธอกันเอาเอง (ถ้ามีโอกาส) แต่ก็นั่นแหละ...มันได้ส่งผลให้เกิด “ความสงบเรียบร้อย” ต่อบ้าน ต่อเมือง ขึ้นมาตามสมควร และถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ โดยเฉพาะถ้ายึด “ผลประโยชน์แห่งชาติ” หรือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ยึดเอาแค่ “อารมณ์ความรู้สึก” ของ “ตัวกู-ของกู” เป็นสำคัญ ดังนั้น...แม้จะต้องสืบสาวราวเรื่อง ว่าเธอหนีไปได้อย่างไร ใครช่วยให้เธอหนี หรือใครปล่อยให้เธอหนี ซึ่งนั่นคงเป็นแค่เรื่อง “ปัญหาทางเทคนิค” เท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญระดับคอขาดบาดตาย ที่ต้องเร่งขุด เร่งคุ้ย ต้องเอาให้ตายกันไปข้าง เพราะอย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า...เมื่อมองจากความรัก ความหลง ความหมกมุ่นมัวเมาในตัวเธอ ทำให้การหนีของคุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” นั้น ต้องถือเป็น “บุญ” ของบ้านเมือง ไม่ใช่ “บาป” ซะที่ไหน ด้วยเหตุนี้...อย่าถึงกับต้องเร่งไป “โยนบาป” ให้ใครต่อใคร ที่ “ตัวกู-ของกู” ไม่ชอบขี้หน้า ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที...