คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...คุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” เธอช่าง “หนี” ได้อย่างชนิด “เยือกเย็น หนักแน่น และสง่างาม” เอามากๆ สมดังคำชโลมไล้ แฉลบเลียร์ ที่คุณน้อง “เต้น สภาโจ๊ก” ท่านได้ไซร้แข้ง ไซร้ขน ระดับขนติดปากไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ คือเยือกก์ก์ก์เย็นน์น์น์...ขนาดที่อดีตรัฐมนตรีร่วมก๊วน ร่วมแก๊งถูกทิ้งให้ต้อง “คุก-คุก-คุก” กันรายละ 40-50 ปี ไม่มีโอกาสกลับหัว กลับลำ ต้องเดินหน้าเข้าคุก เพราะไม่คิดจะหนีไปก่อนหน้านั้น ด้วยเหตุเพราะเชื่อมั่น-ศรัทธา ในตัว “อองซวย ซูจี” หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ได้ซวยไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แร้วว์ว์ว์...
ส่วนหนักแน่นน์น์น์ก็คือ...เธอพร้อมที่จะก้าวอาดๆ ผ่าน “ช่องทางธรรมชาติ” โดยไม่ต้องพึ่งตอมง ตอมอ อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย จากเกาะช้างไปยังกัมพูชา จากกัมพูชาไปยังสิงคโปร์ จากสิงคโปร์ต่อไปยังดูไบ ต่อไปยังอังกฤษ อย่างที่มีผู้สันนิษฐานเอาไว้หรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่ทราบชัด แต่ถ้าหากไม่หนัก ไม่แน่น กันจริงๆเธอคงผ่านด่านแต่ละด่านไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ ด้วยความเยือกก์ก์ก์เย็นน์น์น์ และหนักแน่นน์น์น์ในระดับนี้ การหนีของเธอจึงเป็นอะไรที่ “สง่างามม์ม์ม์” งอมๆ แงมๆ เอามากๆ ส่งผลให้ใครต่อใครตาค้าง อารมณ์ค้าง ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปมิใช่น้อย ไม่รู้จะออกอาการแบบไหน อย่างไร มันถึงจะเข้าทาง เข้าตีน เข้ากับ “รสนิยม” ตัวเอง ที่ต่างต้องอาศัยอารมณ์ความรู้สึกแห่งสัมผัสทั้ง 5 เป็นตัว “ปรุงแต่ง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ขนาดอดีตนักข่าวผู้รักอิสระ เสรี จนต้องทิ้งบ้าน ทิ้งเมือง หนีไปใช้เสรีภาพอยู่ที่อเมริกาโน่น อย่างคุณ “จอม เพชรประดับ” ยังแทบกลับตัวไม่ทัน มึงหลอกกู หรือกูหลอกตัวกูเอง หรือเปล่าก็ยังไม่แน่!!! กว่าจะได้ “สติ” กลับมาขอโทษ ขอโพย พวกเดียวกันกับกู ก็เล่นเอาหวิดๆ ถูกระงับเงินบริจาคไปในหลายช่อง หลายทางด้วยกัน ส่วนอภิมหาคอลัมนิสต์ประเภทตาดูดาว เท้าติดดิน ที่อุตส่าห์ปั่น อุตส่าห์ดัน หวังจะให้ “อองซวย ซูจี” แปรสภาพเป็น “อองซาน ซูจี” ให้จงได้ หลังพอมีโอกาสได้คิดอยู่ประมาณวัน-สองวัน ก็หันมาเชิดชู “กลยุทธ์หนี” ชนิดถือเป็นสุดยอดกลยุทธ์ของคัมภีร์อี้จง อี้จิง อะไรไปโน่นเลย เรียกว่า...พลิกลิ้นจนน่าจะเข็ดลิ้น เข็ดฟันปลอม ไปพอสมควร...
ส่วนบรรดาพวกนักวิชากง นักวิชาเกินอะไรทั้งหลาย...ก็อย่าถึงกับต้องไปถือสา หาความอะไรกันมากมาย เพราะความเป็นนักวิชาการจำนวนไม่น้อย คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากผู้ที่พยายามอธิบายในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น หรือต้องการจะให้เป็น โดยที่ส่วนใหญ่ยังไม่อาจรู้เอาเลยว่า ตัวเองนั้นเป็นใครกันแน่!!! มันก็เลยจำเป็นต้องยกเอาทฤษฎีโน่น ทฤษฎีนี้ อ้างอิงตำรับตำราที่จำมาจากพวกฝรั่งแบบถูกมั่ง ผิดมั่ง สอดคล้องหรือขัดแย้งกับสถานการณ์ก็แล้วแต่ มาทำให้การหนีคราวนี้ เป็นไปอย่าง “เยือกเย็น หนักแน่น และสง่างาม” แบบเดียวกับคุณน้อง “ณัฐวุฒิ สภาโจ๊ก” นั่นแหละ ต่างกันแค่จะออกไปทาง “ตลกเลียร์” หรือ “วิชาการเลียร์” เท่านั้น แต่โดยรวมๆ แล้วคงต้องจัดอยู่ในประเภท “เลียร์” เฉกเช่นเดียวกัน...
คือด้วยเหตุเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกยุคนี้ สมัยนี้ มันเลยทำให้อะไรต่อมิอะไรดูแตกกระฉาน ซ่านเซ็น ย่อยแยกไปตามอารมณ์ความรู้สึกของใคร-ของมันไปตามสภาพ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...การหนีของคุณน้อง “ปู ยิ่งลักษณ์” นั้น ได้ให้คำอธิบายต่างๆ ได้ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปหาเหตุผล ข้ออ้าง อะไรต่างๆ กันมากมาย แค่อาศัย “จิตสำนึกพื้นฐาน” ที่ “ธรรมชาติ” หรือจะเรียกว่า “พระผู้เป็นเจ้า” ก็ย่อมได้ มอบติดตัวมาให้แก่มนุษย์ในทุกผู้ ทุกนาม ขึ้นอยู่กับว่าจะอยู่ลึก อยู่ตื้น ลงไปในระดับไหน ก็สามารถสรุปได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ว่าอะไรถูก-อะไรผิด อะไรดี-อะไรชั่ว ไม่ต้องมานั่งเปิดเฟซบุ๊ก เปิดไลน์ เปิดหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ค้นหา สำรวจตรวจสอบ ความคิด ความเห็น จากใครต่อใครเอาเลยก็ยังได้...
และด้วยสิ่งที่เรียกว่า “จิตสำนึก” นี่เอง...การหนีคราวนี้ ต้องถือว่าเป็นอันจบ ถือเป็นการปิดฉากตำนาน “ตระกูลชินวัตร” ไปอีกตราบนานเท่านาน แทบไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามว่า “การเมือง” มันย้อนกลับไปสู่จุดเดิมๆ อีกหรือไม่ เพราะอย่างน้อยมันคงต้องอาศัยฉากใหม่ๆ ตัวละครใหม่ๆ มันถึงพอเดินหน้าไปตามกระบวนการเท่าที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า แต่สิ่งที่สำคัญเอามากๆ ก็คือฉากใหม่ สถานการณ์ใหม่ๆ นั่นแหละ ที่จะเปิดโอกาสให้กับจิตสำนึกที่ถูกต้อง ดีงาม มากหรือน้อยขนาดไหน สามารถดลบันดาลให้สังคมที่จะต้องประกอบไปด้วยคนดีและคนชั่วในถ้วนทั่วทุกสังคม เป็นไปตามแบบฉบับ “คนดีเข้ามา มีบทบาท ป้องกันและสกัดกั้นคนชั่วไม่ให้มีอำนาจ” ได้มากหรือน้อยขนาดไหน???
อันนี้...ยังอาจต้องอาศัย “บทเรียน” ใหม่ๆ อีกหลายต่อหลายบท และบางบทนั้น อาจฉกาจฉกรรจ์ยิ่งกว่าเท่าที่เคยผ่านมาผ่านไปในอดีตเอาเลยก็ไม่แน่!!! การปิดฉากตำนานตระกูลชินวัตร จึงถือเป็นบททดสอบ บทที่ช่วยให้เกิดการยกระดับทางจิตสำนึกเพื่อรับมือกับฉากสถานการณ์ใหม่ๆ ต่อไปในอนาคตเบื้องหน้า ด้วยเหตุเพราะโลกนี้ สังคมนี้ ย่อมไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นเพียงแค่เวที หรือสถานศึกษา เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ว่า “ตัวเรา” คืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีเงื่อนไขหรือปัจจัยอะไรให้เกิด ให้เป็นอยู่ และให้เป็นไปอย่างไรต่อไป จนกว่าจะรู้แจ้ง เห็นจริง ชนิดไม่หลงผิดใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งที่เป็น “มายา” ของโลกอีกต่อไป มุ่งแต่จะใช้ชีวิตอันน้อยนิดบนโลกใบนี้ ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...นั่นแล...