คงต้องสารภาพกันตรงๆ...ว่าเมื่อไหร่ที่ลองกลับมาเปิดเข่งไก่ เล้าไก่ ในบ้านเรา มักก่อให้เกิดอาการเหนื่อยใจ เพลียใจ ไปซะทุกที ด้วยเหตุนี้...ถึงได้ต้องไป “อะราวนด์ เดอะเวิลด์” ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ คือเพราะอะไรต่อมิอะไรมันยังไม่ถึงลื่นไหลพลั่กๆๆ อย่างที่พยายามตั้งความหวัง ความปรารถนาเอาไว้แต่แรก หลายต่อหลายอย่างมันยังติดๆ ขัดๆ ยังมีอุปสรรคขวากหนามอยู่อีกมากมายเยอะแยะ...
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าประเทศชาติบ้านเมือง เปรียบเสมือน “ปัจเจกบุคคล” คนหนึ่ง บุคคลนั้นๆ ยังคงต้องมีหนี้เวร หนี้กรรม ที่รอเวลาชดใช้อยู่ตามสมควร จะเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน หรือชาตินี้ก็แล้วแต่จะคิด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...หนีไม่พ้นต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น ความมุ่งมั่น พากเพียร ระดับพอๆ กับ “พระมหาชนก” โน่นเลย ถึงจะพอได้เกิด “สังคมแห่งความรู้” เกิด “ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย” แทนที่จะเกิดการรุมแย่ง รุมทึ้งต้นมะม่วง ที่นับวันจะแห้งเหี่ยว แห้งโกร๋นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
แม้ว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบ้านเมืองทุกวันนี้...ท่านพยายามทุ่มเทแรงกาย แรงใจ อยู่พอสมควรเหมือนกัน แต่ก็คงได้เท่านั้น ประมาณนั้น ไม่อาจพลั่กๆๆ เหมือนดังความปรารถนา ความต้องการของใครๆ ไปได้ด้วยกันทั้งหมด เพราะโดย “ขีดจำกัด” ที่มนุษย์แต่ละคน ต่างย่อมมีอยู่ไปด้วยกันทั้งสิ้น โอกาสจะไปตั้งความหวังให้ท่านเป็น “พระนารายณ์อวตาร” ลงมาจุติ ยังไงๆ...มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ แต่ในเมื่อ “ลิขิต” ได้ส่งท่านให้มาดำรง คงอยู่ในสถานะที่ว่านี้ มันเลยอาจต้อง “นาร๊าย นาราย...” อยู่บ้างในบางครั้ง บางครา...
อีกทั้งด้วยเหตุเพราะเรื่องบ้าน เรื่องเมืองนั้น ใช่ว่าจะเป็นเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือคนคนเดียวซะเมื่อไหร่ ยิ่งถ้าหากปราศจาก “ประชาชนผู้มีธรรม” แล้วไซร้ หรือจำนวนประชาชนผู้มีธรรม มันไม่ได้สัดส่วนกับประชาชนผู้ไร้ธรรม แบบเดียวกับสังคม “กลียุค” ที่ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ” ในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านเคยทรงปรารภรำพึงไว้เมื่อหลายปีที่แล้วอะไรประมาณนั้น ย่อมยิ่งเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์ฉิบหาย เหนื่อยฉิบหาย เผลอๆ แม้แต่ “พระสยามเทวาธิราช” ท่านอาจต้องขอพักเหนื่อยขอเวลาถอนหายใจกันไปเป็นพักๆ...
อย่างไรก็ตาม...ภายใต้ช่วง “ระยะผ่าน” ที่ผ่านมาแล้วประมาณ 3 ปี อย่างน้อย...สิ่งที่พอใช้เป็นข้อพิสูจน์ได้บ้างก็คือว่า ความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” หรือ “ธรรมะ” นั้น ถือเป็นสิ่งสุดยอดที่อาจเหนือไปกว่าความเป็นประชาธิปไตย เป็นเผด็จการไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า คือไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลแบบไหน อย่างไรก็เถอะ ถ้าหากตั้งมั่นอยู่ใน “ธรรม” ซะอย่างแล้ว โอกาสที่จะประคองตัวรอด ผ่านอุปสรรคขวากหนาม ในแต่ละเรื่อง แต่ละราว ย่อมเป็นไปได้เสมอๆ ด้วยเหตุเพราะ “ธรรมะ” นั่นเอง ที่เป็นตัวช่วยรองรับการใช้ “อำนาจ” ในแต่ละรูป แต่ละแบบ ไม่ให้ดูน่าเกลียด น่าชังจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในแบบประชาธิปไตย หรือเผด็จการก็ตามแต่ ล้วนต้องการ “ความชอบธรรม” ในการใช้อำนาจของตัวเองไปด้วยกันทั้งนั้น...
อย่างที่วีรสตรีชาวพม่า “นางอองซาน ซูจี” ท่านเคยว่าเอาไว้เป็นวาทะนั่นแหละว่า... “อำนาจนั้นไม่ได้เป็นสิ่งชั่วร้ายด้วยตัวของมันเอง...แต่ขึ้นอยู่กับผู้ใช้มันต่างหาก” คือไม่ว่าจะเป็นอำนาจเผด็จการ หรืออำนาจประชาธิปไตยก็ตามแต่ ถ้าหากผู้ใช้สิ่งเหล่านี้ มันออกไปทาง “ชั่ว” ซะอย่าง!!! ต่อให้ประชาธิปไตยมันวิเศษ วิเสโส ไปถึงขั้นไหน สุดท้าย...หนีไม่พ้นต้องเจอกับประชาชนนับเป็นล้านๆ ออกมาเพรียกหาความถูกต้อง ชอบธรรม ความเป็นไปตามครรลองคลองธรรม จนต้องเสร็จ “เผด็จการ” กันอีกจนได้นั่นแล...
ไม่ต่างไปจาก “เผด็จการ” อีกเช่นกัน...ถึงแม้จะสามารถใช้ “อำนาจ” สอยใครต่อใครได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ แต่ถ้าหากอำนาจนั้นๆ เกิดลดระดับ “ความชอบธรรม” ลงมาเมื่อไหร่ สุดท้าย...เผลอๆ อาจจะลำบากซะยิ่งกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุเพราะยี่ห้อ แพกเกจจิ้ง มันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยถูกตา ต้องใจ สำหรับโลกในยุคหลังๆมากมายซักเท่าไหร่ สิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” หรือ “ความชอบธรรม” จึงยิ่งมีความสำคัญ หรือต้องให้ความสำคัญมากไปกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า อะไรที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ยิ่งต้องพยายามหลบหลีก พยายามแฉลบออกข้างให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เอาเป็นว่า...คงไม่ต้องลงลึกไปในรายละเอียด ให้ปวดเศียรเวียนเกล้า ปวดจิต ปวดใจมากไปกว่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพี่ “โสภณ องค์การณ์” หรือคุณพี่ “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย” ท่านว่าของท่านไปแบบดอกต่อดอกก็แล้วกัน สรุปว่า...เมื่อมาถึงขั้นนี้ ก่อนจะก้าวเท้าซ้าย หรือเท้าขวา คงต้องคิดหน้า คิดหลัง ประมาณ 10 รอบ หรือ 10 ตลบเป็นอย่างน้อย เพราะโอกาสที่จะสะดุดหัวแม่ตีนข้างขวา ข้างซ้าย ของตัวเองล้มคว่ำ มันเริ่มจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ...