อาวุธปืนกับสังคมคนอเมริกันแยกกันไม่ออก คนอเมริกันทุกคนถือสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการครอบครองอาวุธปืนเพื่อสิทธิในการป้องกันตัวและทรัพย์สิน บุคคลหนึ่งอาจมีปืนกี่กระบอกก็ได้ รวมทั้งอาวุธปืนร้ายแรง ทั้งอาวุธสงคราม
เมื่อเราดูหนังฝรั่งอเมริกัน จะเห็นได้ว่าอาวุธปืนเป็นเหมือนสิ่งของใช้ประจำบ้านการได้เป็นเจ้าของไม่ยาก เพียงนำบัตรประชาชน หรือใบขับขี่รถยนต์ หรือเอกสารที่ต้องนำเสนอไปซื้อปืน ถ้าไม่มีประวัติอาชญากรรม ก็ไม่มีปัญหาเยอะ
ยุคปัจจุบันการเป็นเจ้าของอาวุธปืนอาจยุ่งยากกว่าสมัยก่อน นับตั้งแต่อาชญากรรมรุนแรงเกี่ยวกับการสังหารหมู่ การโจมตีโดยคนสติไม่ปกติในสถานการศึกษา สถานที่ราชการ มีคนเสียชีวิตบาดเจ็บมากมาย ก็โวยวายเกิดกระแส
จะมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมการมีไว้ หรือจำหน่ายอาวุธปืน แต่ผลสุดท้ายความพยายามไม่เคยสำเร็จเพราะอิทธิพลของบริษัทผู้ค้าอาวุธมีมากในกลุ่มนักการเมือง โดยเฉพาะสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ เงินเยอะ
การเลือกตั้งแต่ละครั้งสมาคมแห่งนี้ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนให้เงินสนับสนุนนักการเมืองเป็นเงินก้อนใหญ่เสมอ และนักล็อบบี้ยิสต์ในสภาสหรัฐฯ มีเสียงดัง ทำให้สมาชิกสภาคองเกรสและวุฒิสภาไม่กล้าผ่านกฎหมายปืน
การทำสำรวจล่าสุดในปี 2009 มีตัวเลขน่าสนใจ พลเรือนชาวอเมริกันมีอาวุธปืนอยู่ในครอบครองมากถึง 310 ล้านกระบอก ขณะที่พลเรือนทั่วโลกมีอาวุธปืนครอบครอง 650 ล้านกระบอกเท่ากับว่าคนอเมริกันมีปืนเกือบครึ่งหนึ่งของคนทั้งโลกที่มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และตัวเลขขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่รายงานเกี่ยวกับอาวุธปืนขนาดเล็กระบุว่าไม่มีใครสามารถชี้ชัดได้ว่าการถือครองอาวุธนั้นมีตัวเลขแท้จริงเท่าไหร่ เพราะยังมีปืนนอกกฎหมายสารพัดชนิด และการค้าอาวุธเถื่อนยังแพร่หลายโดยเฉพาะในพื้นที่มีปัญหาความไม่สงบ
การสำรวจในกลุ่มคนอเมริกันมีตัวเลขชี้ให้เห็นว่า 4 ใน 10 ของคนยอมรับว่าเป็นเจ้าของอาวุธปืน หรืออาศัยอยู่ในบ้านที่มีอาวุธปืน และชี้ชัดอีกด้วยว่าคนอเมริกันประมาณ 48 เปอร์เซ็นต์โตมาในบ้านที่มีอาวุธปืน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่าคนอเมริกันมีอาวุธปืนโดยเฉลี่ยต่อหัวมากกว่าประเทศอื่นๆ ในอัตรา 100 คน อเมริกันมีมากถึง 89 ขณะที่เยเมน ประเทศที่ยังอยู่ในภาวะสงครามยังมีเพียง 55 ฟินแลนด์มี 45 สวิตเซอร์แลนด์ 46
ในประเทศอาเซียน สิงคโปร์ และอินโดนีเซียมีเพียง 0.5 นับเป็นประเทศที่มีอาวุธปืนต่อหัวน้อยที่สุด น่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่มีตัวเลขระบุไว้ แต่คงอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ หรือเป็นเพราะตัวเลขไม่สามารถระบุได้แน่นอน
การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าคนอเมริกันโดยเฉลี่ยครอบครองอาวุธปืนหลากหลายชนิดและขนาด เช่น ปืนพก ปืนสั้น ปืนยาวประเภทไรเฟิล และยังบอกอีกว่าจินตนาการภาพไม่ออกจริงๆ ว่าการมีบ้านแล้วไม่มีปืนนั้นเป็นอย่างไร
เท่ากับว่าปืนเป็นปัจจัยที่ 5 มาก่อนจะมีโทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ!
ดังนั้น ถ้ามีปัญหา จะเห็นคนใช้ปืนเป็นทางเลือก แต่ก็ใช่ว่าคนอเมริกันจะตัดสินความขัดแย้งด้วยปืน เพราะเกรงกลัวโทษอาญา ยกเว้นการป้องกันตัวหรือทรัพย์สิน การป้องกันตัวทำได้ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้ปืนหรือบุกรุกเคหสถาน
แม้แต่การชกต่อย ฝ่ายลงมือก่อนถูกมองว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบทางกฎหมาย เราจะเห็นเพียงการเอาหน้าอกกระแทกกันก่อนจะใช้กำปั้นตัดสินว่าใครเป็นผู้กล้าลงมือกระทำก่อน เว้นแต่พวกที่ไม่กลัวว่าจะมีโทษรุนแรงแค่ไหน
ถึงแม้กระนั้น การฆ่าคนโดยใช้ปืนในสังคมสหรัฐฯ ยังมีตัวเลขสูงระดับ 25.2 เท่าของประเทศอื่นๆ ซึ่งมีรายได้ระดับสูง แต่ตัวเลขในเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็น 0 และสหรัฐฯ มีตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการใช้อาวุธปืนสูงที่สุดเช่นกัน จากการประเมินโดยองค์การอนามัยโลก จึงชี้ชัดว่าสหรัฐฯ เป็นสังคมและวัฒนธรรมที่ใช้ปืน
ระดับความเสี่ยงของคนอเมริกันที่จะต้องเสียชีวิตด้วยอาวุธปืนมีสูงถึง 51 เท่าเมื่อเทียบกับชาวอังกฤษ ตำรวจสหรัฐฯ ก็เสียชีวิตเพราะอาวุธแต่ละปีหลายสิบคนในขณะปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่คนตายด้วยฝีมือตำรวจอยู่ในระดับเกิน 400 คนต่อปี แต่ตัวเลของค์กรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนระบุว่าตัวเลขแท้จริงสูงมากกว่านี้
หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานตัวเลขว่าประชาชนที่เสียชีวิตด้วยฝีมือการใช้อาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในปีนี้มากถึง 547 รายแล้ว ในสหรัฐฯ มีจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจมากถึง 9 แสนนายที่พกอาวุธปืน นับเป็นอันดับ 1 ในอัตราส่วน
การที่ใครๆ มีปืนได้ง่ายดายในสหรัฐฯ เพราะราคาถูก ปืนพกยี่ห้อติดตลาดมีราคาเพียงกว่า 500 ดอลลาร์เท่านั้น ปืนกล็อกยอดฮิตเคยมีราคา 500 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับราคาในประเทศไทยเกือบ 1 แสนบาท แพงเกินราคาจริงมาก
นั่นเป็นเพราะแต่ละร้านมีโควตา และค่าใช้จ่ายประกอบอีกมากมาย จำนวนที่ใช้มีจำกัด การได้ใบครอบครอง การขออนุมัติยากเช่นกัน เว้นแต่มีหลักฐานการเงิน อาชีพการงานดี มีความน่าเชื่อถือ มีบุคคลน่าเชื่อถือรับรอง
นอกจากอาวุธปืนธรรมดา สหรัฐฯ ยังเป็นผู้ผลิตอาวุธสงครามระดับต้นๆ ของโลก เป็นผู้ค้าส่งออกรายใหญ่ การผลิตอาวุธสงครามเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ