xs
xsm
sm
md
lg

‘มนุษย์ทรัมป์’ ถ้าไปรอดก็ยอดคน!

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

โดนัลด์ ทรัมป์
ประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ของสหรัฐอเมริกาคงต้องได้รับการบันทึกว่าในยุคที่นักธุรกิจมหาเศรษฐี “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้เป็นประธานาธิบดีแบบฟลุกสุดๆ นั้น มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ให้สื่อรายงานแทบนับไม่ทันตั้งแต่สมัครรณรงค์หาเสียงจนได้เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้นำในทำเนียบขาว

แต่ละเรื่องเฉียดฉิวที่จะเป็นวิกฤตใหญ่ทั้งนั้น แต่ทรัมป์ก็เอาตัวรอดมาได้ ส่วนหนึ่งไม่ใช่ฝีมือ แต่เป็นความสามารถที่การเมืองบ้านเราเรียกว่า “อย่างหนา” ไม่แคร์เสียงครหาอย่างใดนั่นเอง เพราะทรัมป์ไม่รับกฎ กติกาสำหรับนักการเมืองเมื่อเข้าไปเล่นการเมือง

เมื่อไม่ใช่นักการเมือง ก็ไม่ทำตัวแบบนักการเมือง เป็นนักธุรกิจซึ่งแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจเมื่อมีโอกาส ใครจะอ้างตรรกะ จริยธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองก็ตาม ทรัมป์ไม่ใส่ใจ รวมทั้งการพลิกลิ้นแบบดื้อๆ ด้านๆ ไร้ลีลาท่ามาก ทำเอาปฏิปักษ์ต้องเอ๋อ

ที่ผ่านมา ทรัมป์ทำตัวเป็นมนุษย์น็อตหลุด หรือ Loose Cannon คือปืนใหญ่หลุดจากฐาน กระบอกส่ายไปมา ทำให้คนต้องหนีตายจากกระสุนสะเปะสะปะ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์สมควรได้รับฉายาเพิ่มจากที่มีอยู่คือต้องเป็นมนุษย์ Loose Tongue ด้วย

Loose Tongue ก็คือ “การพูดแบบไม่ระวัง” พล่ามเจื้อยแจ้ว เกิดความเสียหาย ดังเช่นถูกกล่าวหาและตัวเองก็ยอมรับว่าได้เปิดเผยข่าวสารข้อมูลชั้นความลับให้คณะของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย นายเซอร์เก ลาฟรอฟ และเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ

ทั้งคู่เข้าพบปะพูดคุยกับทรัมป์ในทำเนียบขาว ในช่วงที่ทรัมป์กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่ารัสเซียได้ไปวุ่นวายในการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งทรัมป์เป็นคู่ชิง การแทรกแซงทำให้ทรัมป์มีชัยเหนือคู่แข่งคือนางฮิลลารี คลินตัน ซึ่งถูกประเมินว่า “เต็งหาม”

นอกจากเรื่องฉาวสารพัดแล้ว ประเด็นหลักน่าหนักใจขณะนี้คือการเปิดเผยข้อมูลลับให้คณะรัสเซีย ข้อกล่าวหาว่าพยายามให้อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอเลิกราการสอบสวนเรื่องอดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคง “นายไมเคิล ฟลินน์” เกี่ยวโยงกับรัสเซียแบบมีเงื่อนงำ

นอกจากนั้น บันทึกความจำจากการสนทนาระหว่างอดีต ผอ.เอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์ ยังทำให้คนอเมริกันแทบช็อก เพราะทรัมป์ถูกมองว่าน่าจะกระทำความผิดร้ายแรง นั่นคือ “ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม” เมื่อขอร้องแกมสั่งให้โคมีย์เลิกสอบสวนไมเคิล ฟลินน์

ตัวฟลินน์เองก็โดนทรัมป์ปลดออกจากตำแหน่งหลังจากประเมินแล้วคงอุ้มต่อไปไม่ไหว ปัญหาขณะนี้ก็คือความฉาวเรื่อง ฟลินน์ อาจฉุดทรัมป์ลงเหวตามไปด้วยก็ได้ เพราะสภาคองเกรสและวุฒิสภาร่ำร้องให้มีการตั้งกรรมาธิการหรืออัยการพิเศษสอบสวนทรัมป์

แถมยังมีคำพูดเปรยๆ ว่าถ้าเรื่องฉาวทั้งหมดของทรัมป์ไปเกินเลยกว่าที่จะ “เอาอยู่” อาจนำไปสู่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีเหมือนยุค “ริชาร์ด นิกสัน” จะโดน ถ้าไม่ชิงลาออกจากตำแหน่งเสียก่อน โดยมีการอภัยโทษจากประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด

ฝ่ายพรรคเดโมแครตกำลังดีใจจนเนื้อเต้นที่จะพยายามจับทรัมป์ขึ้นเขียงเชือด ขณะที่พรรครีพับลิกัน ก็ยังพยายามปกป้องทรัมป์ แต่ดูแล้วเสียงแผ่วเบา ระดับแกนนำหลายคนซึ่งไม่ชอบขี้หน้าทรัมป์เป็นทุนเดิมก็ส่งเสียงทำนองเห็นด้วยเพื่อความกระจ่าง

ยังมีการยกประเด็นว่าคำพูดขัดแย้งกันหลายเรื่องระหว่างทรัมป์กับทีมงานทำให้มีปัญหาด้านความน่าเชื่อถือ ประชาชนไม่รู้จะไว้ใจเชื่อใครดี ขณะเดียวกันยังมีความกังวลว่าพันธมิตรสำคัญเช่นอิสราเอลอาจไม่ส่งข้อมูลความลับให้สหรัฐฯ เพราะความปากพล่อย

ข้อมูลข่าวกรองชั้นความลับที่ทรัมป์นำไปบอกเล่าให้คณะรัฐมนตรีรัสเซียก็มาจากอิสราเอล แต่ทรัมป์ก็ประกาศว่าตนเองมีสิทธิและเอกสิทธิในการเปิดข้อมูลตามอำนาจที่ให้ไว้สำหรับประธานาธิบดีตัดสินใจได้ว่าอะไรเป็นหรือไม่เป็นข้อมูลข่าวกรองชั้นความลับ

เป็นวิกฤตหนักหนาสาหัสสำหรับทรัมป์ สื่อกระแสหลักทีวีก็ใช้เวลาเกือบตลอดเวลาเสนอเรื่องความฉาวของทรัมป์ แข่งกันหาประเด็นใหม่ ขณะที่หนังสือพิมพ์กระแสหลักคือนิวยอร์ก ไทมส์ และวอชิงตัน โพสต์ ก็ฉีกประเด็น ทำให้หน้า 1 มีแต่เรื่องทรัมป์กับความฉาว

ทีมงานในทำเนียบขาวอยู่ในสภาวะเกือบระส่ำระสาย ไม่รู้ว่าจะรับกับสถานการณ์และควบคุมความเสียหายไว้ได้อย่างไร เพราะทรัมป์เองก็ไม่อยู่นิ่ง ส่งทวิตเตอร์ชี้แจงประเด็นต่างๆ ทำให้สื่อต่างๆ มีข้อมูลและประเด็นใหม่อันโอชะสำหรับการขุดคุ้ยเพิ่มเติม

การทำงานในทำเนียบขาวยังไม่เข้าขาลงตัวกัน เพราะมีปัญหาเรื้อรังด้านบุคคลในตำแหน่งสำคัญ ทีมงานโฆษกของทรัมป์โดนไล่จี้ ไล่บี้ จนแทบไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เท่ากับเป็นการเร่งให้สื่อและปฏิปักษ์ของทรัมป์เร่งโหมไฟ กะจะให้ทรัมป์สิ้นสภาพการนำ

ทรัมป์ยังอาจหลบวิกฤตภายในประเทศด้วยการเดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์กับอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งอาจช่วยหักเหประเด็น ลดอุณหภูมิเรื่องร้อนๆ แต่อาจเผชิญปัญหาความหวาดระแวงว่าการสนทนาจะไม่เป็นความลับต่อไป

มีเสียงขานรับจากอิสราเอล ออสเตรเลีย และอังกฤษว่าทั้ง 3 ประเทศยังคงแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองลับกับคณะของทรัมป์ต่อไป แต่อาจเป็นเพียงต้องการรักษาหน้าทรัมป์ ขณะที่ในทางปฏิบัติหน่วยข่าวกรองของประเทศเหล่านั้นต้องคิดหนักเรื่องแชร์ข่าวกรอง

วิบากกรรมของทรัมป์แทบจะมีฉากใหม่ทุกนาที ล่าสุดมีคำสั่งจากคณะกรรมการด้านข่าวกรองของวุฒิสภาได้ออกคำสั่งให้อดีต ผอ.เอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์ ไปให้ถ้อยคำกรณีบันทึกช่วยจำของตนเองกับทรัมป์ นั่นหมายความว่าต้องกล่าวคำสาบานให้พูดความจริง

ด้านกระทรวงยุติธรรมก็ประกาศแต่งตั้งอดีต ผอ.เอฟบีไอ โรเบิร์ต มุลเลอร์ ให้เป็นผู้นำทีมสอบสวนเรื่องความพัวพันระหว่างก๊วนของทรัมป์กับรัสเซีย ทำให้ทรัมป์เป็นเสือลำบาก จากนี้ไปจะทำอะไรต้องเผชิญอุปสรรคเพราะความไม่น่าไว้ใจในพฤติกรรมผู้นำ

กรรมติดจรวดกำลังไล่ตามทรัมป์ อันตรายกว่าขีปนาวุธของคิมน้อยเยอะ!
กำลังโหลดความคิดเห็น