งานนี้...ต้องเรียกว่า น่าจะ “เอาเรื่อง” มิใช่น้อย สำหรับการผ่านกฎหมายร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของบรรดาสมาชิกสนช.ตั้งแต่ช่วงวันพฤหัสที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา เท่าที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ท่านออกมาแจกแจงถึงประเด็นหลักๆ ของ “กฎหมายต้านโกง” ฉบับใหม่ล่าสุด ไม่ว่าโกงแล้วหนีไม่มีตัวจำเลยมาขึ้นศาลก็ยังคงดำเนินคดีได้ หนีเท่าไหร่ก็ไม่หมดอายุความ ต้องหนีไปตลอดชาติตลอดชั่วทั้งชีวิต ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ ต้องถือเป็นยาหนัก ยาแรง ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ซึ่งสำหรับบ้านเรานั้น...คงต้องยอมรับว่า น่าจะได้เวลาที่ต้องใช้ยาหนัก ยาแรง มานานแล้ว เพราะบ้านอื่น เมืองอื่น เรื่องของการโกง การทุจริตประพฤติมิชอบนั้น ส่งผลให้บรรดานักการเมืองไม่ว่าระดับมังกร หรือพยัคฆ์ ต่างม่อยกระรอกไปเป็นแถบๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าเกาหลีใต้ จีน เปรู ไปจนถึงบราซิลที่เมื่อเร็วๆ นี้ ระดับอดีตประธานาธิบดียังออกอาการไปแหล่ มิไปแหล่ ไม่รู้จะออกหัว ออกก้อย หรือไม่ อย่างไร ขณะที่บ้านเรา...โดยส่วนใหญ่อาจได้แค่ระดับสุนัขธรรมดาโดยทั่วไปเท่านั้นเอง มันก็เลยส่งผลให้ “วัฒนธรรมทางการเมือง” มันออกจะเละเทะ เหลวเป๋ว หารูป หาทรง ที่แน่นอนไม่ค่อยจะได้...
ด้วยเหตุนี้...ถ้าไม่มองกันแบบคิดเล็ก คิดน้อย หรือคิดมากก็แล้วแต่ เช่น มองเป็นการไล่ล่า เล่นงาน นักการเมืองกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง คนใด คนหนึ่ง หรือแม่มดตัวใด ตัวหนึ่ง แต่มองในแง่หลักการ มองโดยอาศัยผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง “กฎหมายต้านโกง” ฉบับที่ว่า มันน่าจะส่งผลให้เกิดการยกระดับวัฒนธรรมทางการเมือง ในแวดวงการเมืองได้มั่ง แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี คือน่าจะทำให้แวดวงการเมืองในอนาคต น่าจะดูดีขึ้น สะอาดขึ้น ด้วยเหตุเพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความทุจริตประพฤติชอบของนักการเมือง ได้ถูกยกระดับพัฒนาจากที่เคยเป็นแค่ไม้กวาด กลายมาเป็นเครื่องดูดฝุ่น อะไรประมาณนั้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว...ย่อมต้องก่อให้เกิดผลบวก ผลดีต่อบรรดานักการเมืองเองนั่นแหละ โดยเฉพาะผู้ที่พร้อมยึดมั่นอยู่ในความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง...
พูดง่ายๆ ว่า...อาจถือเป็นการช่วย “ขจัดเงื่อนไข” ที่ทำให้การเมืองไทย มักต้องวนไป-วนมา เกือบจะร่วมศตวรรษเข้าไปแล้ว เนื่องจากไม่ว่าเมื่อเกิดเหตุปฏิวัติ รัฐประหาร เกิดการสะดุดหยุดยั้งของระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาในครั้งใด สิ่งที่มักถูกนำมาใช้เป็น “เงื่อนไข” “ข้ออ้าง” ในการปฏิวัติ รัฐประหาร มักหนีไม่พ้นไปจาก 2 เรื่องหลักๆ คือ เรื่อง “คอมมิวนิสต์” กับเรื่องของการ “ทุจริตคอร์รัปชัน” นั่นแล แต่สำหรับเรื่องคอมมิวนิสต์นั้น มาวันนี้ ยุคนี้ คงต้องถือเป็นสิ่ง “พ้นสมัย” ไปนานแล้ว เหลือแต่เรื่อง “คอร์รัปชัน” เท่านั้น ที่ “เชื้อชั่วยังไม่ตาย” เอาง่ายๆ การออกแบบกฎหมายให้ออกไปทางยาหนัก ยาแรง เช่นนี้ จึงอาจถือเป็นการช่วย “ขจัดเงื่อนไข” หรือขจัดข้ออ้างของการปฏิวัติไปในตัว อันอาจส่งผลให้การเมืองไทย มีโอกาสออกอ่าว ออกทะเล ได้บ้าง ไม่ต้องวนไป-วนมาอยู่ในอ่าวไทย กว่า 80 เกือบจะ 90 ปีเข้าไปแล้ว...
ด้วยเหตุนี้...ก็อย่าถึงกับไปคิดเล็ก คิดน้อย คิดว่าเป็นการไล่ล่าใครคนหนึ่ง คนใด เป็นการเฉพาะ อันนั้น...อาจถือเป็น “ผลพลอยได้” ประเภทยิงนัดเดียวได้นกหล่นลงมาทั้งฝูง ทั้งพวง หรือไม่ อย่างไร ก็คงสุดแล้วแต่ “กรรม” หรือการกระทำของบุคคลนั้นๆ นั่นแล ใช่ว่าจะมีผู้ใดไปเสกสรรปั้นแต่ง สิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้ก่อนล่วงหน้า ดังนั้น...ย่อมเป็นสิ่งที่ควรแซ่ซ้อง สรรเสริญ มากกว่าที่จะหันไปด่าว่า เหน็บแนม เสียดสี เยาะเย้ย อะไรต่อมิอะไรไปตามการ “ปรุงแต่ง” ทางความรู้สึก เพราะสิ่งใดๆ ที่มันช่วยให้เกิดการขจัดความสกปรก รกรุงรัง ที่หมักหมมกันมานานแสนนาน ออกไปจากสังคมไทยซะมั่ง ย่อมต้องถือเป็นสิ่งดีๆ ไปด้วยกันทั้งนั้น...
เหมือนอย่างความพยายามที่จะขจัดกวาดล้างความสกปรก รกรุงรัง ในวงการ “พระ” นั่นแหละทั่น คือถึงขั้นระดับ “พระฆ่าพระ” ด้วยเหตุเพราะผลประโยชน์เรื่องเงินๆ ทองๆ หรือ “พระกับกรรมการ” ร่วมกันอมเงินวัดชนิดพระเสี้ยวหนึ่ง กรรมการค่อนหนึ่ง แบบเห็นกันจะจะคาตา การหาทางขจัดกวาดล้าง “เปรต” ในวงการพระศาสนา มันจึงน่าจะถือเป็นเรื่องดี เรื่องที่ควรค่าแก่การยกย่อง สรรเสริญ ควรให้การสนับสนุน ร่วมแรง ร่วมใจ ระหว่าง “วัด” และ “บ้าน” ให้เต็มเม็ด เต็มสูบ แต่จะด้วยเหตุเพราะการคิดมาก คิดเล็ก คิดน้อย หรือไม่ ประการใด ก็มิอาจทราบได้ ถึงได้เห็นข่าวว่าพระบางรูป ตลอดไปจนฆราวาสที่เคยทำมาหารับประทานกับพระ ดันออกมาประกาศ “คว่ำบาตร” ผู้ที่เหน็ดเหนื่อย ทุ่มเท เพียรพยามกวาดล้างลานวัดให้สะอาดๆ ขึ้นมามั่ง อย่างหน่วยงานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ณ ขณะนี้ ด้วยเหตุเพราะคุ้นชินกับความสกปรก หรือสกปรกจนเป็นนิสัย หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ หรือจะด้วยเหตุเพราะยังสนุกสนาน เมามันซ์ซ์ซ์ กับการยึดมั่นอยู่ใน “อัตตา” แห่งความเป็นพระ ชนิดเป็นแท่งๆ ด้ามๆ เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะตีนไม่พาย แต่ดันอุตส่าห์หันไปเอาศิวลึงค์ราน้ำ ได้หนักหน่วง รุนแรง ถึงเพียงนี้...