ศุกร์นี้...ถ้าว่ากันระดับโลก “ไฮไลต์” คงหนีไม่พ้นต้องหันไปจับตาการประชุม พบปะบรรดาผู้นำประเทศที่ทรงอำนาจ อิทธิพล มีเงิน มีทอง มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันระดับ 90 เปอร์เซ็นต์ของโลก อย่างกลุ่มประเทศ “G20” ณ เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนีนั่นแหละทั่น ซึ่งจะเริ่มเปิดผ้าม่านกั้งขึ้นในวันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม วันนี้ พอดิบพอดี...
งานนี้...ใครเป็นพระเอก ผู้ร้าย เป็นตัวโกง หรือเป็นดาวตลก ฯลฯ คงต้องหาโอกาสแยกแยะกันเอาเอง โดยเฉพาะผู้นำที่มีบทบาทโดดเด่นอยู่ในระดับโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น “ทรัมป์บ้า” แห่งอเมริกา “ปูติน” แห่งรัสเซีย หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งจีน ฯลฯ ซึ่งคงต้องแยกย้ายรับบท เล่นบท ไปตามสคริปต์ของใคร-ของมันกันตามสภาพ แต่ที่อาจหยิบมาเปรียบเทียบ โชว์ให้เห็นเป็นหนังตัวอย่างได้แบบค่อนข้างชัดเจน ก็น่าจะเป็นบทระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับคุณพี่ “สีทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งจีนนั่นแล ที่ต้องเรียกว่า...ลองจับมาประกบคู่เมื่อไหร่ รับรองว่าดูไม่จืด เพราะโดยบท โดยโทน ออกไปคนละเรื่อง คนละม้วนชนิดน่าจะหาจุดลงตัวกันไม่เจอไปอีกนานแสนนาน...
คือขณะที่ความเป็น “American First” หรือความพยายามทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” นั้น ส่งผลให้รัฐบาลอเมริกันกำลังหันไปปลุกผีดิบซอมบี้ หรือกำลังพยายามหันมาพลิกฟื้น “พลังงานถ่านหิน” ให้กลับมามีบทบาทขึ้นใหม่ในระดับโลก เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมถ่านหินในอเมริกาไม่ต้องเจ๊งระเนนระนาด ล้มละลาย เป็นแผงๆ คุณพี่ “สี จิ้นผิง” หรือ “สีทนได้” แห่งจีน...ก็กลับทำท่าว่าอยากจะเห็น “Our Planet Great Again” อย่างเอาจริง-เอาจังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดข่าวคราวล่าสุด...ที่บรรดาสื่อระดับโลกไม่ว่ากระแสหลัก กระแสรอง ทั้ง CNN, BBC, CNBC ฯลฯ ต่างต้องหันมาให้ความสนใจอย่างมิอาจปฏิเสธได้โดยออกอาการตื่นเต้น ฮือฮา มิใช่น้อย ต่อข่าวคราวเรื่องโครงการ “เมืองป่า (Forest City) แห่งแรกของโลก” ที่ประธานาธิบดี “สี” ท่านได้สร้างสรรค์อีกแล้วครับทั่น ขึ้นที่เมือง “Liuzhou” เขตปกครองมณฑลกวางสี โดยมีกำหนดจะให้แล้วเสร็จในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หรือราวๆ ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นไป...
เมืองที่ว่านี้...ถือได้ว่าเป็นเมืองที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้สู้กับปัญหามลพิษและเพื่อแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนโดยตรงโดยสถาปนิกระดับโลก อย่าง “Stefano Boeri” ชาวอิตาลี เจ้าของบริษัท “Stefano Boeri Architetti” ที่เชี่ยวชาญการพัฒนาเมืองในชนบทและถือเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อโครงการสีเขียวในระดับโลก แม้จะเป็นแค่ “เมืองนำร่อง” ซึ่งถูกเนรมิตขึ้นมาในพื้นที่ประมาณ 175 เฮกตาร์ บริเวณด้านที่เลียบไปกับแม่น้ำ “Liujiang River” แต่ก็มีศักยภาพระดับสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจก อย่างก๊าซคาร์บอนฯ ได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ตัน/ต่อปี ลดมลพิษอื่นๆ ได้อีก 57 ตัน/ต่อปี และสามารถผลิตออกซิเจนให้เพิ่มขึ้นในระดับ 900 ตัน/ต่อปี...
เมืองนำร่องที่ว่านี้...จะถูกนำไปใช้รองรับประชากรจำนวนประมาณ 30,000 คนในขั้นแรกก่อนที่จะนำไปสู่การใช้เป็นแบบอย่าง ตัวอย่างให้กับเมืองต่างๆ ทั้งในประเทศจีน หรือในระดับโลกได้อีกต่อไป โดยแบ่งโซนต่างๆ ภายในเมืองออกเป็นเขตการค้า เขตที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล โรงเรียน 2 โรง แถมยังมีพื้นที่สันทนาการสร้างความบันเทิงไว้รองรับผู้ที่อยู่อาศัยท่ามกลางแมกไม้นับล้านๆ ชนิด จำนวนกว่า 100 สปีชีส์ มีต้นไม้ใหญ่ๆ เรียงรายรอบๆ ไม่น้อยกว่า 40,000 ต้น การเดินทางไปมาหาสู่ภายในเมืองอาศัยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ส่วนการติดต่อกับภายนอกอาศัยรถไฟฟ้าความเร็วสูงเป็นตัวเชื่อมต่อ ขณะแหล่งพลังงานที่ใช้รองรับเมืองทั้งเมือง อาศัยพลังงานหมุนเวียน อย่างพลังงานใต้พิภพหรือพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก และที่สำคัญเอามากๆ ก็คือองค์ประกอบพื้นฐานอันถือเป็นโครงสร้างของเมือง ถูกกำหนดให้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิด “สังคมพอเพียง” (Self Sufficiency) ที่ประธานาธิบดี “สี” ท่านได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “หลักการ 4 ถ้วนทั่ว” ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องชี้นำสังคมจีนทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อที่จะนำพาประเทศจีนไปสู่ ความเป็น “อารยธรรมแห่งนิเวศน์” (Ecological Civilization)ให้จงได้...
เมื่อนำบทดังกล่าวมาเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต เฟรมต่อเฟรม คงแยกแยะได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ว่าใครเป็นพระเอก เป็นผู้ร้าย หรือเป็นดาวตลกกันแน่ ด้วยเหตุนี้...ในระหว่างการประชุม “G20” ไม่ว่าพระเอกจำต้องหันไปจับมือกับผู้ร้าย ตัวตลกโดดไล่ปล้ำนางเอก ตัวประกอบหันไปประกบพระเอกหรือตัวโกงก็แล้วแต่ อันนั้น...คงต้องว่าไปตามฉากแต่ละฉาก พิธีการแต่ละพิธีแต่ที่แน่ๆ ก็คือ...อนาคตของโลกนั้นคงหนีไม่พ้นต้องแยกออกเป็น 2 สายคู่ขนาน ชนิดยากซ์ซ์ซ์จะหันมาบรรจบกันได้ง่ายๆ คือโลกที่ถือเอา “อัตตา” หรือ “ตัวกู-ของกู” เป็นใหญ่ กับโลกที่ถือเอา “ธรรมะ” หรือ “ความถูกต้อง-ยุติธรรม” เป็นใหญ่ ใครจะเลือกเดินไปสู่โลกไหน เส้นทางไหน คงต้องวินิจฉัยกันเอาเองโดยเสรี...