ในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินของท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” นั้น... “เข้าท่า-ไม่เข้าท่า” คงต้องว่าไปตามรสนิยมของใครก็ของมัน แต่ถ้าว่ากันในเรื่องการแต่งกลอน แต่งบทกวีแร้วว์ว์ว์ อันนี้...น่าจะลำบาก!!! อาจพอๆ กับการ “ตีปิงปอง” อะไรประมาณนั้น คือออกไปทางเก้งๆ ก้างๆ ไม่เหมือนการชกลม ซ้อมมวย หรือการวาดลวดลายท่ากายบริหาร ซึ่งน่าจะอ่อนช้อยกว่าเยอะ...
แต่ก็เอาเถอะ...จะด้วยเหตุเพราะ “วิญญาณสุนทรภู่” เข้าสิง หรือด้วยเหตุอันใดก็มิอาจสรุปได้ บทกลอนว่าด้วยเรื่อง “ประเทศไทย 4.0” ที่สัมผัสกระทบกันชนิดโฉ่งๆฉ่างๆ คงต้องพยายามมองกันที่เนื้อความ อย่าถึงกับไปขัดหู ขัดตากับเรื่องฉันทลักษณ์ รูปแบบ ลีลาอะไรกันมากมาย ถือซะว่า...อุตส่าห์กลั่นกรองรจนาออกมาจากความปรารถนาดีเป็นที่ตั้งก็พอแล้ว อย่างน้อย...ก็น่าจะไพเราะไม่น้อยไปกว่าบทเพลง “เจ็บนิ้วโป้งจัง” หรือ “เจ็บนี้อีกนาน” ของคุณ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ที่เคยอุตส่าห์ออกเทปเพื่อให้บรรดาแฟนๆ เอาไว้ใช้พันสายไฟฟ้า อะไรทำนองนั้น...
คือสำหรับผู้ที่มีฐานะ ตำแหน่งเป็นผู้บริหารชาติบ้านเมืองนั้น...ใช่ว่าจะต้องเก่งไปทุกเรื่อง รู้ซะทุกเรื่อง เพราะอะไรที่ไม่เก่ง ไม่รู้ ไม่เชี่ยวชาญ อย่างน้อย...ก็พอมีมือๆ ตีนๆ ที่จะช่วยตอบสนองตั้งแต่ไม้จิ้มฟันไปยันเรือรบได้เสมอๆ สำคัญอยู่ที่ว่าจะใช้มือ ใช้ตีน ข้างไหน คู่ไหนของใคร ไปในแบบไหน อย่างไร หรืออยู่ที่ “ความสามารถในการใช้คน” นั่นเอง ซึ่งคนระดับนายกฯ ไม่ว่ารายไหนต่อรายไหน ล้วนแล้วแต่พกเอาความสามารถชนิดนี้ติดตัวมาด้วยกันสิ้น ขึ้นอยู่กับจะมากจะน้อยแตกต่างกันไป ถ้ามากหน่อย...แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ก็อาจไหลลื่น แต่ถ้าลดน้อย ถอยลงไป ด้วยอุปสรรคใดๆก็แล้วแต่ แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ก็อาจติดๆ ขัดๆ ไปตามสภาพ...
อย่างเช่นอดีตนายกฯ “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” นั้น...ต้องยอมรับว่า ท่าน “ใช้คนเก่ง” มิใช่น้อย ขนาดเสรีไทยอย่าง “อาจารย์ป๋วย” ยังต้องกลายเป็น “คู่บุญ-คู่บารมี” ของท่านไปจนได้ แม้ว่าโดยที่มา-ที่ไป อาจผิดแผกแตกต่างกันคนละเรื่อง ละม้วน ฝ่ายหนึ่งเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อีกฝ่ายหนึ่งเชิดชูประชาธิปไตยและเสรีนิยมแบบเต็มที่ แต่ภายใต้ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” เป็นที่ตั้ง แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ก็เป็นไปได้ด้วยดี ไม่ต่างไปจากอดีตนายกฯ “ป๋าเปรม” อีกราย แม้แต่เสือ สิงห์ กระทิง แรด ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ฯลฯ ท่าน “เอาอยู่” หมด ระบอบ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ถึงอยู่ยาวมาได้ 7 ปี 8 ปี...
ส่วนนายกฯ “บิ๊กตู่” นั้น...การประคับประคองตัวเองและรัฐบาลมาได้ถึง 3 ปีกว่าๆ โดยที่คะแนนนิยมยังไม่ถึงกับ “หัวตก” อะไรมากมาย แม้ไม่ถึงกับ “โด่ไม่รู้ล้ม” เหมือนช่วงแรกๆ แต่พอใช้เป็นดัชนีชี้วัดได้ว่า “ความสามารถในการใช้คน” ของท่านก็คงเอาเรื่องมิใช่น้อย เพียงแต่ว่า...เมื่อฉากสถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากเผด็จการแบบทั้งแท่ง ทั้งด้าม มาเป็นประชาธิปไตยแบบผสมผสาน อันนี้นี่แหละ...ที่ยังก่อให้เกิดคำถามว่ามันจะออกไปทางรายการ “ตีปิงปอง” หรือการรจนาบทกลอน บทกวี หรือไม่ อย่างไร???
คือไม่เพียงแต่ไม่มี “มาตราฉี่ฉิบฉี่” อยู่ในมือเหมือนเดิมเท่านั้น...แต่ยังต้องเจอกับเสือ สิงห์ กระทิง แรด ระดับเขี้ยวงอก เกล็ดแตกลายงา มีปีก มีหาง แถมพ่นไฟได้ด้วย ล้อมรอบ ล้อมกรอบ อยู่ในสภาฯ ในรัฐบาล อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ แม้จะมีวุฒิสภา กองทัพ ข้าราชการ ฯลฯ หนุนหลังเพียงใดก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากต้องเจอกับคนที่ไม่เหมาะกับงาน หรือต้องเจอกับงานที่หาคนเหมาะๆ มาใช้ไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพคนที่ประชาชนเขาเลือกไปตามมี ตามเกิด โอกาสที่จะหลงเหลืออารมณ์สุนทรีย์ เอาไว้ใช้ในการแต่งเพลง แต่งกลอน มันอาจหายเกลี้ยงเอาง่ายๆ ยิ่งถ้าเหลือแต่อารมณ์ประเภทที่อยากจะยกโพเดียมทุ่มใส่หัวนักข่าวล้วนๆ อันนี้...ย่อมมีแต่ตายกับตาย...ลูกเดียวเท่านั้นเอง!!!
ดังนั้น...อย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า คำถามมันคงไม่ได้อยู่ที่ว่า “ใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป” หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่น่าจะอยู่ที่ว่า “นายกฯ คนต่อไป” จะอยู่อย่างไร ถึงมันจะไม่ก่อให้เกิดการหวนกลับไปสู่ “ความไม่สงบเรียบร้อย” ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งคำถามที่ว่านี้...หนีไม่พ้นต้องเร่งหา “คำตอบ” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า และคำตอบที่ว่ามันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พยายามเขียนๆ เอาไว้ในกฎหมายฉบับโน้น ฉบับนี้ มาตราโน้น มาตรานี้ มากมายซักเท่าไหร่นัก แม้จะพยายามออกแบบ ประดิษฐ์คิดค้นชนิดหัวแทบแตกเพียงใดก็ตามที แต่ขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวนายกฯ กับผู้แวดล้อมรอบกายนั่นแหละ ว่าจะส่งผลให้แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง เป็นไปได้อย่างไหลลื่น หรือติดๆ ขัดๆ ชนิดอาจถึงขั้นต้องเลิกแต่งกลอน หันไปร้องลิเกกันแทนที่...