ในบทสัมภาษณ์ของผู้นำฟิลิปปินส์อย่าง “นายดูเตอร์เต” นั้น...ได้สะท้อนไว้ค่อนข้างชัดว่า แม้ตัวเขาอาจมีสัมพันธ์อันดี หรือมีความรู้สึกเป็นมิตร กับประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” อยู่พอสมควร หลังจากที่ได้มีโอกาสจับเข่า จับหัวเหน่า พูดคุย เจรจากันมาบ้าง แต่ “ดูเตอร์เต” กลับสรุปเอาไว้ว่า บรรดาผู้มีบทบาท อำนาจในสหรัฐฯ อีกหลายๆ ส่วน ไม่ว่าสภาคองเกรส หรือหน่วยงานกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ อันอาจหมายถึงบรรดาพวก “Establishment” หรือพวก “Deep State” ทั้งหลาย กลับไม่ได้เห็นดี เห็นงาม อะไรกับ “ทรัมป์” ไปด้วยกันทั้งหมด และคนเหล่านี้นี่เองที่เป็นผู้กำหนดนโยบายต่างๆ ของสหรัฐฯ...
ในคำพูดตอนหนึ่ง “ดูเตอร์เต” สะท้อนให้เห็นสิ่งเหล่านี้เอาไว้ว่า “ในเมื่อพวกไอซิสสร้างฐานเอาไว้ในประเทศผม ลงไปทางใต้ และเราคงต้องต่อสู้กับพวกผู้ก่อการร้ายไม่ต่างอะไรไปจากประเทศอื่นๆ อันทำให้เราต้องการอาวุธ แต่ในท้ายที่สุด...วุฒิสมาชิก 2 รายในสภาคองเกรส ก็บอกว่า พวกเขาไม่สามารถส่งออกอาวุธให้กับเราได้ ผมก็เลยบอกไปว่า...ไม่มีปัญหา เพราะผมสามารถไปคุยกับจีนและรัสเซียได้อยู่แล้ว” พูดง่ายๆ ว่า...นโยบายต่างประเทศฟิลิปปินส์ที่ผู้นำรายนี้ได้พยายามเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือที่เขาใช้คำว่า “เปลี่ยนไปจากพวกโปรตะวันตก” ได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างความไม่พึงพอใจอย่างรุนแรงให้กับบรรดาผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน จนถึงขั้นเมื่อผู้สื่อข่าว “RT” ถามว่า... “คุณพูดหลายครั้งเกี่ยวกับลอบสังหารตัวคุณ แต่คุณเชื่อจริงๆ หรือ...ว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้น” ผู้นำฟิลิปปินส์นี้เลยให้คำตอบสั้นๆ แบบไม่ต้องเสียเวลาอธิบายว่า “They Do it” หรือถ้าแปลความตามสำนวนของ “บิ๊กจ๊อด” บิดาบังเกิดของ “บิ๊กแดง” แม่ทัพภาคที่ 1 บ้านเรา ก็คงประมาณ “มันเอาเราแน่” อย่างไม่พึงต้องสงสัย!!!
สรุปง่ายๆ ว่า...ความพยายามช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจแห่งโลกในช่วงนี้มันชักจะมาแรง-ไปแรง เล่นกันแบบหยาบๆ กร้านๆ ดื้อๆ ทื่อๆ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความพยายาม “ปักหมุดในเอเชีย” เพื่อปิดล้อมจีน หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากไม่สามารถกระทำการผ่าน “รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง” ได้แล้ว ยังสามารถหันไปอาศัย “การก่อการร้าย” หรือ “การไล่ล่าผู้ก่อการร้าย” เป็นเหตุผล ข้ออ้าง ได้อย่างดื้อๆทื่อๆ หยาบๆ กร้านๆ อย่างที่กำลังปรากฏให้เห็นในซีเรีย อิรัก ลิเบีย เยเมน และกำลังลุกลามมาถึงฟิลิปปินส์หรือแม้กระทั่งอินโดนีเซีย ที่นับวันจะมีสัมพันธภาพอันดีกับมหาอำนาจรายใหม่อย่างจีน อันเนื่องมาจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ตามโครงการ “One Belt, One Road” ยิ่งขึ้นทุกทีนั่นเอง...
ความพยายาม “ฉีกประเทศ” ในตะวันออกกลางเป็นชิ้นๆ แบบที่เรียกๆกันว่า “Balkanization” โดยอาศัยรูปแบบการก่อเกิดอำนาจชนิดใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดของพวก “มุสลิมสุดโต่ง” ทั้งหลาย ที่หวังจะจัดตั้ง “รัฐอิสลามบริสุทธิ์” (Islam Super State) ขึ้นมา ณ พื้นที่หนึ่ง พื้นที่ใด โดยอาศัยความร่วมมือจากประเทศที่ไม่ได้เป็น “ประชาธิปไตย” ใดๆ เลย แม้แต่การจัดให้มี “การเลือกตั้ง” แถมยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้ายมาโดยตลอด ไม่ว่าตั้งแต่ “มูจาฮีดีน” “อัลกออิดะห์” ไปจนถึง “ไอซิส” ฯลฯ อย่างเช่นประเทศซาอุดีอาระเบียผู้ให้กำเนิด “ลัทธิวะฮาบีย์” (Wahhabi) มาตั้งแต่ต้น พร้อมขายอาวุธมูลค่านับเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์ให้กับประเทศนี้ เพื่อนำไปสู่การต่อต้านเล่นงานประเทศที่อาศัย “เลือกตั้ง” ตามระบอบประชาธิปไตยแท้ๆ แถมยังเลือกผู้นำที่ว่ากันว่ามีแนวคิดกลางๆ อีกต่างหาก อย่างเช่นประเทศอิหร่าน เป็นต้น ถึงขั้นคิดรวมกำลังชาติมุสลิม 55 ชาติร่วมกับอเมริกา บุกเข้าไปในอิรัก ซีเรีย แบบดื้อๆ ทื่อๆ และด้วยรูปแบบโมเดลเดียวกันนี้นี่เอง...ที่กำลังกลายมาเป็นฉากสถานการณ์ซึ่งกำลังอุบัติขึ้นมาในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ตลอดทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอาเลยก็ไม่แน่...
ด้วยเหตุนี้...ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่กำลังเมามันซ์ซ์ซ์อยู่กับการตอบคำถามเรื่องประชาธิปไตย เรื่องธรรมาภิบาล หรือเรื่องนักเลือกตั้งทั้งหลาย ชนิดมันซ์ซ์ซ์มือ มันซ์ซ์ซ์ตีน อยู่ในระหว่างนี้ คงต้องหันไปให้ความสนใจต่อฉากสถานการณ์ซึ่งกำลังอุบัติขึ้นในประเทศบ้านใกล้ เรือนเคียง เอาไว้มั่ง อย่าเอาแค่ซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ไปตามรสนิยมของใคร-ของมัน แต่เพียงลำพัง เพราะไม่ว่าคำตอบมันจะถูกใจ-ไม่ถูกใจใครๆ ก็ตาม แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า...คำตอบนั้นๆ ได้ตั้งอยู่บน “ผลประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” มาก-น้อยขนาดไหน และอันนี้...ย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจของผู้คนที่มีต่อความเป็นไปของโลกทุกวันนี้นั่นเอง อันเป็นความรู้ ที่จะนำไปสู่ความรัก ความสามัคคี ของผู้คนในแต่ละชาติเท่านั้น ถึงพอจะ “เอาอยู่” หรือพอรับมือกับความเป็นไปของโลกได้แบบจริงๆ จังๆ...