** "ผมจะไปตั้งที่ไหนล่ะ ผมไม่เอา ผมอายุเยอะแล้ว ทำงานตรงนี้ให้จบก็พอแล้ว"
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเมื่อถูกถามว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้ง และตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ โดยยืนยันว่า จะดูแลไม่ให้เกิดเรื่องในช่วงการเลือกตั้งอีกด้วย
ถือว่าเป็นการยืนยันที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้มีการระบุว่ามีการเคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อเตรียมการสำหรับการสืบทอดอำนาจ หลังจากมีการเลือกตั้งตามโรดแมปในปลายปีหน้า หรือต้นปี 2562
ก่อนหน้านี้มีรายงานความเคลื่อนไหวของบรรดาเครือข่ายผู้สนับสนุนเขา ทั้งที่เป็นอดีตนักการเมือง สมาชิกสภานิติบัญญัติ รวมไปถึงที่เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) มีความพยายามรวมกลุ่มกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนตัวเขา หรือแม้แต่เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ตามโควตา"คนนอก" ที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องเอาไว้ ในบทเฉพาะกาล
แน่นอนว่าในจำนวนนั้นยังหมายรวมถึงกลุ่ม กปปส. ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถือว่ามีความใกล้ชิดกันมานาน และที่ผ่านมาเขาก็มีท่าทีสนับสนุนรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ดี ในสภาพความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่แม้ว่ามี "อำนาจ" และบารมีในระดับสูงในรัฐบาล และในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต้องเรียกหากันว่า "พี่ใหญ่" คนนี้ แต่ในสังคมภายนอกยังมีภาพลักษณ์ใน"ทางลบ" สังคมจำนวนไม่น้อยมีความ"ระแวง" ไม่มีภาพเป็นบวกก็แล้วกัน ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะเขามีเครือข่ายที่กว้างขวาง มีเพื่อนพ้องน้องพึ่ในทุกวงการ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นคนละเรื่องกันในสายตาชาวบ้าน
หากสังเกตให้ดี ทุกครั้งที่พอเกิดเรื่องอื้อฉาวไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ "วิ่งเต้น" ในช่วงการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำปี โดยเฉพาะที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ อย่างการโยกย้ายนายตำรวจ เขาก็ถูกลากลงไป ถูกวิจารณ์ มีการกล่าวหาว่าคนใกล้ชิดของเขาที่รู้จักกันในวงการว่า "โจ๊กหวานเจี๊ยบ" มีบทบาททำบัญชีโยกย้ายกันเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีเรื่องเชื่อมโยงไปถึงน้องชายอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ยังถูกวิจารณ์ว่านี่คือ "ผบ.ตร.เงา" หรือผู้บัญชาการตำรวจตัวจริงก็มี
หรือก่อนหน้านี้ก็มีเสียงวิจารณ์นินทาในเรื่องการเชื่อมโยง กล่าวหากับเรื่องบ่อนชายแดนไทย-กัมพูชา ที่แม้ว่าจะมีการปฏิเสธออกมาอย่างสิ้นเชิง และท้าให้พิสูจน์ แต่กลายเป็นว่าแทบทุกเรื่องล้วนมาลงที่ "พี่ใหญ่" คนนี้ อาจเป็นเพราะเขาคือบุคคลที่ค้ำเก้าอี้ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยหรือไม่ เพราะนอกเหนือจากได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ยังรวมไปถึงการกำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ และกิจการด้านพลังงานอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือบทพิสูจน์ว่าเขาคือ "ผู้ทรงอิทธิพล" ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม
** ด้วยภาพลักษณ์ที่สื่อออกมาเป็นลบดังกล่าว แม้ว่าในความเป็นจริงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือไม่ก็ตาม แต่ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ถูกจับตามองว่าจะ "สืบทอดอำนาจ" ต่อไปอีกหรือไม่ รวมไปถึงมีการจับตาว่า อาจฝันไกลไปถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี ในเมื่อภาพลักษณ์ที่ออกมาเป็นลบดังกล่าว มันก็เหมือนกับว่า "ฝืน" ต่อไปไม่ไหว อีกทั้งในช่วงสองสามเดือนมานี้ เขามีปัญหาเรื่องสุขภาพรุมเร้า ซึ่งเพิ่งฟื้นจากการ"ผ่าตัด" มีอาการอิดโรย ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องเอ่ยปาก "พอแล้ว" หรือเปล่า
อีกด้านหนึ่ง ในทางทหารก็อาจมองแบบจับผิดไปอีกทางว่า นี่คือการ "ลับ ลวง พราง" เพื่อให้ตายใจ ไม่เป็นที่จับจ้อง เป็นเป้าสายตาอีกต่อไปก็อาจเป็นได้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ย้ำว่า "จะขอทำงานตรงนี้ให้จบ ก็พอแล้ว" มันก็ทำให้เป็นไปได้ว่า โอกาสที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่แค่ปีเศษนี้ น่าจะลดลงหรืออาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ และแน่นอนว่า สำหรับเก้าอี้ด้านความมั่นคง ก็จะคงอยู่แบบเดิม โดยอาจผ่องถ่ายมอบหมายงานให้กับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ไปช่วยดูแลมากขึ้น น่าจะออกมาในรูปนี้มากกว่า !!
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเมื่อถูกถามว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้ง และตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ โดยยืนยันว่า จะดูแลไม่ให้เกิดเรื่องในช่วงการเลือกตั้งอีกด้วย
ถือว่าเป็นการยืนยันที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้มีการระบุว่ามีการเคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อเตรียมการสำหรับการสืบทอดอำนาจ หลังจากมีการเลือกตั้งตามโรดแมปในปลายปีหน้า หรือต้นปี 2562
ก่อนหน้านี้มีรายงานความเคลื่อนไหวของบรรดาเครือข่ายผู้สนับสนุนเขา ทั้งที่เป็นอดีตนักการเมือง สมาชิกสภานิติบัญญัติ รวมไปถึงที่เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) มีความพยายามรวมกลุ่มกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนตัวเขา หรือแม้แต่เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ตามโควตา"คนนอก" ที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องเอาไว้ ในบทเฉพาะกาล
แน่นอนว่าในจำนวนนั้นยังหมายรวมถึงกลุ่ม กปปส. ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถือว่ามีความใกล้ชิดกันมานาน และที่ผ่านมาเขาก็มีท่าทีสนับสนุนรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ดี ในสภาพความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่แม้ว่ามี "อำนาจ" และบารมีในระดับสูงในรัฐบาล และในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต้องเรียกหากันว่า "พี่ใหญ่" คนนี้ แต่ในสังคมภายนอกยังมีภาพลักษณ์ใน"ทางลบ" สังคมจำนวนไม่น้อยมีความ"ระแวง" ไม่มีภาพเป็นบวกก็แล้วกัน ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะเขามีเครือข่ายที่กว้างขวาง มีเพื่อนพ้องน้องพึ่ในทุกวงการ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นคนละเรื่องกันในสายตาชาวบ้าน
หากสังเกตให้ดี ทุกครั้งที่พอเกิดเรื่องอื้อฉาวไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ "วิ่งเต้น" ในช่วงการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำปี โดยเฉพาะที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ อย่างการโยกย้ายนายตำรวจ เขาก็ถูกลากลงไป ถูกวิจารณ์ มีการกล่าวหาว่าคนใกล้ชิดของเขาที่รู้จักกันในวงการว่า "โจ๊กหวานเจี๊ยบ" มีบทบาททำบัญชีโยกย้ายกันเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีเรื่องเชื่อมโยงไปถึงน้องชายอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ยังถูกวิจารณ์ว่านี่คือ "ผบ.ตร.เงา" หรือผู้บัญชาการตำรวจตัวจริงก็มี
หรือก่อนหน้านี้ก็มีเสียงวิจารณ์นินทาในเรื่องการเชื่อมโยง กล่าวหากับเรื่องบ่อนชายแดนไทย-กัมพูชา ที่แม้ว่าจะมีการปฏิเสธออกมาอย่างสิ้นเชิง และท้าให้พิสูจน์ แต่กลายเป็นว่าแทบทุกเรื่องล้วนมาลงที่ "พี่ใหญ่" คนนี้ อาจเป็นเพราะเขาคือบุคคลที่ค้ำเก้าอี้ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยหรือไม่ เพราะนอกเหนือจากได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ยังรวมไปถึงการกำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ และกิจการด้านพลังงานอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือบทพิสูจน์ว่าเขาคือ "ผู้ทรงอิทธิพล" ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม
** ด้วยภาพลักษณ์ที่สื่อออกมาเป็นลบดังกล่าว แม้ว่าในความเป็นจริงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือไม่ก็ตาม แต่ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ถูกจับตามองว่าจะ "สืบทอดอำนาจ" ต่อไปอีกหรือไม่ รวมไปถึงมีการจับตาว่า อาจฝันไกลไปถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี ในเมื่อภาพลักษณ์ที่ออกมาเป็นลบดังกล่าว มันก็เหมือนกับว่า "ฝืน" ต่อไปไม่ไหว อีกทั้งในช่วงสองสามเดือนมานี้ เขามีปัญหาเรื่องสุขภาพรุมเร้า ซึ่งเพิ่งฟื้นจากการ"ผ่าตัด" มีอาการอิดโรย ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ต้องเอ่ยปาก "พอแล้ว" หรือเปล่า
อีกด้านหนึ่ง ในทางทหารก็อาจมองแบบจับผิดไปอีกทางว่า นี่คือการ "ลับ ลวง พราง" เพื่อให้ตายใจ ไม่เป็นที่จับจ้อง เป็นเป้าสายตาอีกต่อไปก็อาจเป็นได้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ย้ำว่า "จะขอทำงานตรงนี้ให้จบ ก็พอแล้ว" มันก็ทำให้เป็นไปได้ว่า โอกาสที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่แค่ปีเศษนี้ น่าจะลดลงหรืออาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ และแน่นอนว่า สำหรับเก้าอี้ด้านความมั่นคง ก็จะคงอยู่แบบเดิม โดยอาจผ่องถ่ายมอบหมายงานให้กับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ไปช่วยดูแลมากขึ้น น่าจะออกมาในรูปนี้มากกว่า !!