xs
xsm
sm
md
lg

รื้อเงินวัด-ปฏิรูปตร.-ลุยเมกะโปรเจกต์ แค่นี้ชาวบ้านก็จำ"ลุงตู่"ติดตา !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รื้อเงินวัด-ปฏิรูปตร.-ลุยเมกะโปรเจกต์
แค่นี้ชาวบ้านก็จำ"ลุงตู่"ติดตา !!

**จะเรียกว่าได้จังหวะ มาถูกทาง และเริ่มเห็นดอกผลตามระยะเวลากันแล้วก็ได้ สำหรับทั้งสามเรื่องดังกล่าว นั่นคือ การรุกเร้ามาจัดระเบียบ รื้อระบบการทำบัญชีรายได้ และจัดการทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ การปฏิรูปตำรวจ รวมทั้งเรื่องการเร่งผลักดันโครงการขนาดใหญ่ หรือ เมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล ที่เริ่มเห็นหน้าเห็นหลัง หลังจากเวลาผ่านมา 3 ปี หากเริ่มนับตั้งแต่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาล ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หากพิจารณาแยกทีละเรื่อง เริ่มจากการเข้าไปตรวจสอบบัญชีทางการเงินและทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ ก็ถือว่าได้จังหวะเหมาะพอดี แม้ว่าเริ่มต้นจากคดีฆาตกรรม สามเณรรูปหนึ่ง ในวัดวังตะวันตก เขตอำเภอเมืองฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่สาเหตุมาจากเรื่องผลประโยชน์ภายในวัด มีการจัดการทรัพย์สินภายในวัดอย่างไม่โปร่งใส นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถเข้ามาดำเนินการอย่างจริงจังเสียที
แม้ว่าที่ผ่านมาดู เหมือนว่าจะมีความพยายามจะเข้ามาตรวจสอบความโปร่งใส เข้ามาจัดระเบียบ โดยเฉพาะบรรดาทรัพย์สินต่างๆ ภายในวัดทั่วประเทศ แต่ในความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า "ยังไม่ได้จังหวะ" เนื่องจาก"บางวัด" ที่เป็นเป้าหมายยังไม่มีเงื่อนไขที่สุกงอมพอ
อีกทั้งการเข้ามาจัดระเบียบให้เหมาะสมก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ต้องผ่านการรับฟังความเห็นจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงพระสงฆ์ ที่ถือว่าได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเรื่องแบบนี้มัน "ละเอียดอ่อน" สามารถถูกนำไปเบี่ยงเบนได้หลายทาง
แน่นอนว่าที่ผ่านมาเชื่อว่าหลายคนรู้สึกเบื่อหน่ายกับเรื่อง "อื้อฉาว" ในวงการพระสงฆ์มาอย่างต่อเนื่อง กรณีเกิดคดีฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจรที่มีที่มาจากสหกรณ์เครดิตยูเนียน คลองจั่น ที่มี "พระธัมมชโย" และวัด"พระธรรมกาย" เข้าไปเกี่ยวข้อง และผลจากการสืบสวนสอบสวนก็มีแนวโน้มจะบานปลายขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เนื่องจากพบผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการฟอกเงินเพิ่มขึ้นหลายราย
อย่างไรก็ดี อย่างที่รู้กันว่ากรณีของวัดธรรมกายนั้น มีเครือข่ายกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังโยงแนบชิดกับกลุ่มขั้วการเมืองขนาดใหญ่ ทุกอย่างมันจึงไม่ง่าย แต่มาถึงวันนี้ถือว่า "ได้จังหวะ" เหมาะที่สุดที่จะเข้าไปปฏิรูป การจัดระเบียบภายในวัดทั่วประเทศเสียใหม่ ซึ่งอาจทำไปควบคู่กับการ "ปฏิรูปวงการสงฆ์" ด้วยก็เป็นได้ ซึ่งรับรองว่าเป็นเรื่องใหญ่และละเอียดอ่อนมาก แต่ขณะเดียวกันก็ถือว่าในยุคปัจจุบันที่รัฐบาลมี "อำนาจพิเศษ" อยู่ในมือ ก็น่าจะดำเนินการได้มากที่สุด เพราะกลไกเริ่มต้นอย่างเช่น สำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงผู้อำนวยการคนใหม่ ก็เริ่มมีการขับเคลื่อนบ้างแล้ว ขณะเดียวกัน มีการเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของวัด จาก ไพบูลย์ นิติตะวัน ก็เริ่มเห็นรูปเห็นร่างบ้างแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งที่ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่งก็คือการ "ปฏิรูปตำรวจ" ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากพลาดพลั้งก็อาจส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลและผู้นำคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติกันเลยทีเดียว จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ที่ก่อนหน้านี้เขาต้องลังเลเตะถ่วงไปเรื่อยๆ แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความปราถนาอย่างแรงกล้า เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ชาวบ้านต้องการให้เกิดขึ้นในยุครัฐบาล คสช.นี้ให้ได้ก็ตาม แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีความคืบหน้าตามที่หวังสักที
จนล่าสุด มีการปูดข้อมูลเรื่องการ "ซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ" ในการโยกย้ายนายตำรวจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและมีการโยกย้าย พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท พ้นจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 อ้างว่า เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ว่าเรื่องราวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่น่าตื่นเต้น เพราะสำหรับวงการตำรวจมันติดลบในสายตาประชาชนมาตั้งนานแล้ว และการเปิดโปงแต่ละครั้ง มันก็ถูกมองว่า เป็นเรื่องการเมืองที่เรื่องฉาวเพราะ "คนของกูไม่ได้" หรือหลุดโผออกไป ถึงได้โวยวาย อะไรแบบนี้ ถามว่าชาวบ้านเชื่อเรื่องวิ่งเต้นซื้อขายเก้าอี้หรือไม่ ก็ตอบแบบไม่ต้องคิดว่า "มี" แล้วรู้สึกรำคาญแบบนี้ทุกปี
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ โครงการเมกะโปรเจกต์ หรือโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่เน้นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบราง น้ำ อากาศ รวมไปถึงการลงทุนในโครงการเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น "ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก" ที่เชื่อมโยงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ดังกล่าว ซึ่งเวลานี้เริ่มเคลื่อนที่ เดินหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้นจนเริ่มเห็นภาพ แน่นอนว่า "แม่งาน"ในการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจก็คือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ล่าสุดเพิ่งไปชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามา
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ยังมีความล่าช้า เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่เอาเข้าจริงเพิ่งเริ่มลงมือก่อสร้างไปได้ไม่กี่สาย ล่าสุดเพิ่งลงนามก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้ารางเบา สายสีชมพูกับสายสีเหลืองไปเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา และที่น่าจับตาก็คือ การใช้มาตรา 44 ปลดล็อกด้านกฎหมายเพื่อให้เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าไทย-จีน ในระยะแรก ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมาได้เดินหน้าเสียที แม้ว่าในอนาคตยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจความคุ้มค่าการลงทุน แต่ในเมื่อตัดสินใจกันแล้ว ก็ต้องเดินหน้าเต็มกำลัง จะให้หยุดนิ่ง ล้มเลิกไปเฉยๆไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นกับนักลงทุนในภาคเอกชนที่ก่อนหน้านี้ ยังชะลอให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
**หากกล่าวว่าทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวนี่แหละ ที่น่าติดตามและเป็นความหวังของคนไทย ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสร้างผลงานอันน่าจดจำของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากประชาชนได้ตลอดไป ซึ่งทั้งสามเรื่องดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โดยเฉพาะสองเรื่องแรก ที่เป็นความต้องการของชาวบ้าน อยากเห็นมานานแล้ว ดังนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์ ทำได้ ก็ต้องบอกว่านี่แหละคือผลงานที่จับต้องได้ โดยที่ไม่ต้องพูดชี้แจงอะไรกันมาก ที่สำคัญต้องกล้าหาญ และต้องป้องกันการทุจริตที่จะตามมา แค่นั้นแหละ เชื่อว่าทุกอย่างก็ฉลุย !!
กำลังโหลดความคิดเห็น