ผู้จัดการรายวัน360 - นายกฯ เผย ครม. ถกด่วนตรวจสอบเงินวัด ด้าน “ออมสิน” สั่ง พศ. หาข้อมูลเพิ่มเติมปมบัญชีทรัพย์สินวัด ชี้ยังไม่ถึงขั้นออกเป็นกฎหมายจนกว่าจะมีมูล ส่วนกรรมาธิการ สปท. ชง พศ. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินวัดกว่า 3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ พร้อมแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลังพบ 92 วัดร่ำรวย มีรายได้เดือนละ 20-30 ล้านบาท
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (13 มิ.ย.) ว่า ในที่ประชุม ครม. ได้มีการหารือเรื่องเงินอุดหนุนเงินวัดและให้มีการติดตามอย่างเร่งด่วน โดยขณะนี้ทราบว่าได้มีการดำเนินการไปแล้ว 96% ขณะที่การทำงานของรัฐบาลโดยนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือร่วมกันมาตลอดกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กระทรวงยุติธรรม และมหาเถระสมาคม (ม.ส.) ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นทะเบียนบัญชีทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบรายได้ของวัด โดยจะตรวจสอบวัดในพื้นที่ที่มีปัญหาก่อน แต่ทั้งนี้ได้มีการดำเนินการมาก่อนปี 57-58 พอสมควร จึงขอให้รับฟังการชี้แจงจากผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อไป
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบบัญชีรายรับ-รายจ่ายของวัดต่างๆ ว่า ขณะนี้เรื่องอยู่ที่ กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) แต่ยังมาไม่ถึงตน โดยทราบว่าในส่วนของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ส่งข้อมูลไปทั้งหมด 26 วัด ซึ่งถ้ามีการชี้มูลในเรื่องการทำความผิดก็จะดำเนินการไปตามขั้นตอน ขณะที่ ปปป. ตรวจสอบแล้วพบว่ามีมูล 12 วัด จึงให้ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป
ด้าน นายบวรเวท รุ่งรุจี ผู้ช่วยโฆษกคณะกรรมการธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม การศาสนา คุณธรรม และจริยธรรม สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ. เห็นชอบรายงานเรื่องการพัฒนาระบบการบริหารทรัพย์สินของวัดให้เป็นไปตามมาตรฐานตามข้อเสนอของ คณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยมีข้อเสนอให้วัดจัดทำบัญชีทรัพย์สินตามเกณฑ์มาตรฐาน ครอบคลุมทรัพย์สินของวัดทั้งหมด ตลอดจนโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ศาสนวัตถุ โดยให้มหาเถระสมาคม (มส.) หรือสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการบริหารจัดทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ 3.7 หมื่นแห่งทั่วประเทศ รวมถึงรูปแบบวิธีการจัดทำบัญชีทรัพย์สินของวัดที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนติดตามตรวจสอบการจัดทำบัญชีทรัพย์สินของวัดและรายงานผลการตรวจสอบ
ที่มอบประชุม ยังมอบให้ พศ. นำเสนอ มส. ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 และกฎกระทรวงปี 2511 กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คำสั่งต่างๆ ให้ทันสมัย บังคับใช้ได้จริง อาทิ การกำหนดให้สำนักงานพระพุทธศาสนา มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินวัด และรายงานผลการตรวจสอบให้มหาเถรสมาคม นายกรัฐมนตรี และสาธารณชนรับทราบ หากการตรวจสอบพบว่ามีความไม่โปร่งใสให้ดำเนินการตามกฎหมายได้ จากเดิมที่เพียงให้วัดส่งบัญชีทรัพย์สินมาให้ พศ. เก็บไว้เท่านั้น แต่ไม่เคยตรวจสอบและไม่เคยมีบทลงโทษในเรื่องดังกล่าว
“จากนี้จะนำข้อเสนอของ กมธ. ไปเสนอต่อ ครม. รวมถึง พศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไปดำเนินการต่อไป โดยจากการตรวจสอบรายได้วัดทั่วประเทศเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ พบว่า มี 92 วัดมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังกังวลว่าจะได้รับความร่วมมือจากวัดในการตรวจสอบทรัพย์สินหรือไม่ เพราะยังไม่ได้หารือกับวัดถึงหลักเกณฑ์เหล่านี้ เพียงแต่เชิญฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลความเห็นเท่านั้น” นายบวรเวท กล่าว
*** กังขา“เจ๊บิว” ไม่ได้เบิกเงินวัด 40 ล.เพียงลำพัง
ด้าน นายชนบท ศุภศรี อดีตผู้พิพากษา ระบุถึงกรณีข่าวเงินในบัญชีวัดวังตะวันตกจำนวน 40 ล้านบาทหายไปเหลือเพียงหลักแสนบาทว่า ไม่น่าเชื่อที่นางปิยฉัตร (บิว) ผู้ต้องหาจะเป็นผู้ถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวโดยลำพัง เพราะการเบิกจ่าย หรือถอนเงินออกจากบัญชีต้องมีข้อตกลงกับธนาคารว่าจะให้ใครเป็นผู้ที่มีอำนาจ จึงไม่สามารถทำกันได้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก และถอนเงินจำนวนมากต้องเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ธนาคารต้องรู้เห็นกับการเบิกจ่าย หรือถอนเงินจำนวนมาก รวมทั้งต้องมีหลักฐานทางเอกสาร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (13 มิ.ย.) ว่า ในที่ประชุม ครม. ได้มีการหารือเรื่องเงินอุดหนุนเงินวัดและให้มีการติดตามอย่างเร่งด่วน โดยขณะนี้ทราบว่าได้มีการดำเนินการไปแล้ว 96% ขณะที่การทำงานของรัฐบาลโดยนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือร่วมกันมาตลอดกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กระทรวงยุติธรรม และมหาเถระสมาคม (ม.ส.) ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นทะเบียนบัญชีทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบรายได้ของวัด โดยจะตรวจสอบวัดในพื้นที่ที่มีปัญหาก่อน แต่ทั้งนี้ได้มีการดำเนินการมาก่อนปี 57-58 พอสมควร จึงขอให้รับฟังการชี้แจงจากผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อไป
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบบัญชีรายรับ-รายจ่ายของวัดต่างๆ ว่า ขณะนี้เรื่องอยู่ที่ กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) แต่ยังมาไม่ถึงตน โดยทราบว่าในส่วนของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ส่งข้อมูลไปทั้งหมด 26 วัด ซึ่งถ้ามีการชี้มูลในเรื่องการทำความผิดก็จะดำเนินการไปตามขั้นตอน ขณะที่ ปปป. ตรวจสอบแล้วพบว่ามีมูล 12 วัด จึงให้ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป
ด้าน นายบวรเวท รุ่งรุจี ผู้ช่วยโฆษกคณะกรรมการธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม การศาสนา คุณธรรม และจริยธรรม สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ. เห็นชอบรายงานเรื่องการพัฒนาระบบการบริหารทรัพย์สินของวัดให้เป็นไปตามมาตรฐานตามข้อเสนอของ คณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยมีข้อเสนอให้วัดจัดทำบัญชีทรัพย์สินตามเกณฑ์มาตรฐาน ครอบคลุมทรัพย์สินของวัดทั้งหมด ตลอดจนโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ศาสนวัตถุ โดยให้มหาเถระสมาคม (มส.) หรือสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการบริหารจัดทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ 3.7 หมื่นแห่งทั่วประเทศ รวมถึงรูปแบบวิธีการจัดทำบัญชีทรัพย์สินของวัดที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนติดตามตรวจสอบการจัดทำบัญชีทรัพย์สินของวัดและรายงานผลการตรวจสอบ
ที่มอบประชุม ยังมอบให้ พศ. นำเสนอ มส. ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 และกฎกระทรวงปี 2511 กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คำสั่งต่างๆ ให้ทันสมัย บังคับใช้ได้จริง อาทิ การกำหนดให้สำนักงานพระพุทธศาสนา มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินวัด และรายงานผลการตรวจสอบให้มหาเถรสมาคม นายกรัฐมนตรี และสาธารณชนรับทราบ หากการตรวจสอบพบว่ามีความไม่โปร่งใสให้ดำเนินการตามกฎหมายได้ จากเดิมที่เพียงให้วัดส่งบัญชีทรัพย์สินมาให้ พศ. เก็บไว้เท่านั้น แต่ไม่เคยตรวจสอบและไม่เคยมีบทลงโทษในเรื่องดังกล่าว
“จากนี้จะนำข้อเสนอของ กมธ. ไปเสนอต่อ ครม. รวมถึง พศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไปดำเนินการต่อไป โดยจากการตรวจสอบรายได้วัดทั่วประเทศเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ พบว่า มี 92 วัดมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังกังวลว่าจะได้รับความร่วมมือจากวัดในการตรวจสอบทรัพย์สินหรือไม่ เพราะยังไม่ได้หารือกับวัดถึงหลักเกณฑ์เหล่านี้ เพียงแต่เชิญฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลความเห็นเท่านั้น” นายบวรเวท กล่าว
*** กังขา“เจ๊บิว” ไม่ได้เบิกเงินวัด 40 ล.เพียงลำพัง
ด้าน นายชนบท ศุภศรี อดีตผู้พิพากษา ระบุถึงกรณีข่าวเงินในบัญชีวัดวังตะวันตกจำนวน 40 ล้านบาทหายไปเหลือเพียงหลักแสนบาทว่า ไม่น่าเชื่อที่นางปิยฉัตร (บิว) ผู้ต้องหาจะเป็นผู้ถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวโดยลำพัง เพราะการเบิกจ่าย หรือถอนเงินออกจากบัญชีต้องมีข้อตกลงกับธนาคารว่าจะให้ใครเป็นผู้ที่มีอำนาจ จึงไม่สามารถทำกันได้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก และถอนเงินจำนวนมากต้องเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ธนาคารต้องรู้เห็นกับการเบิกจ่าย หรือถอนเงินจำนวนมาก รวมทั้งต้องมีหลักฐานทางเอกสาร