เจอกับการออกอาวุธของอดีตรัฐมนตรี “วิทยา แก้วภราดัย” เข้าไปดอก-สองดอก ต้องเรียกว่า...แทบไม่ต้องเสียเวลาตอบคำถามข้อแรกของท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ประเภทเรื่องธรรมาภิบง ธรรมาภิบาลใดๆ อีกต่อไป เพราะขนาดรัฐบาลที่ยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแท้ๆ ยังออกอาการ “บานทะโรค” หุบไม่ลง ต้องควานหายาริดสีดวงทวารตาปลามังกร ยัดเข้าปากเป็นกำๆ เอาเลยโน่นแหละ ถึงจะพอ “บาลๆ” ขึ้นมาได้มั่ง...
อันที่จริง...เรื่องของการรับทรัพย์ ซื้อตำแหน่ง ขายตำแหน่ง ในแวดวงตำรวจนั้น หลายต่อหลายรายเคยออกมาพูดจาว่ากล่าวกันไปบ้างแล้ว และต่างถูกตำรวจหน่วยตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หน่วยชันสูตรพลิกศพ เล่นงานจนเงียบเสียงไปตามๆ กัน แต่สำหรับคราวนี้...ท่าทางน่าจะเงียบลำบาก!!! เพราะด้วยข้อมูล หลักฐาน พยานแวดล้อม พยานบุคคล ที่อดีตรัฐมนตรี “วิทยา” ท่านอ้างว่ามีอยู่ครบหมด เหลือแต่รอจังหวะขออนุญาตให้ “กันไว้เป็นพยาน” เท่านั้น ริดสีดวงทวารกี่เม็ดต่อกี่เม็ด ท่านพร้อมจะไล่เรียงให้เห็นกันแบบจะจะ...
อีกทั้งยังไม่ใช่แค่อดีตรัฐมนตรี อดีตแกนนำ กปปส.รายเดียวเท่านั้น ที่ออกมาแหกตูด แหกทวารบานให้เห็นตั้งแต่ปลายติ่งไปถึงลำไส้ใหญ่ ถ้าดูจากลักษณะอาการของบรรดาสมาชิก สปท.สภาปฏิรูปประเทศ ที่ได้จังหวะโดดออกมาปกป้องเพื่อนสมาชิกด้วยกัน อย่างอาจารย์ “สังศิต พิริยะรังสรรค์” ที่กำลังถูกหน่วยชันสูตรพลิกศพของตำรวจ พลิกซ้าย-พลิกขวา อยู่ในช่วงระยะนี้ งานนี้...ต้องเรียกว่า มากันเป็นแผงๆ มาอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการเอาเลยก็ว่าได้ สากกะเบือบินปลิวว่อนไปทุกทิศทุกทาง ชนิดยากซ์ซ์ซ์ที่องค์กร หน่วยงาน อย่างตำรวจ จะยื้อกระแส ฝืนกระแส ได้ง่ายๆ...
และที่น่าขนคอตั้งยิ่งไปกว่านั้น...เห็นจะเป็นเพราะแนวคิดของท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” เองนั่นแหละ ที่ได้ปรารภ รำพึงในป่าช้าเอาไว้ก่อนหน้านี้ ว่า “การกระจายอำนาจตำรวจ” ไปยังจังหวัดแต่ละจังหวัด เป็นสิ่งที่น่าคิด น่าหยิบเอามาใคร่ครวญ พิจารณาเอาไว้เหมือนกัน พูดง่ายๆ ว่า...แม้ว่าการเลือกตั้งยังไม่รู้จะมาถึงกันอีกเมื่อไหร่ และรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะมีธรรมาภิบาล หรือไม่ อย่างไร แต่กระแส “ปฏิรูปตำรวจ” นับจากนี้...มันคงมาแรง แซงโค้ง ยากซ์ซ์ซ์จะฝืน ยากซ์ซ์ซ์ที่จะยื้อกันได้อีกต่อไป ส่วนมันจะส่งผลให้ใครเกิดอาการลำไส้อักเสบ นั่งไม่ได้-ลุกไม่ได้เพราะลมมันเย็ลล์ล์ล์ อันนั้น...คงต้องไปคิดกันเอาเองก็แล้วกัน...
สรุปง่ายๆ ว่า...งานนี้ คงไม่น่าจะจบลงเพียงแค่การปรับสลับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ไม่ว่าใครขึ้น-ใครลงก็ไม่น่าจะแตกต่างไปจากกันซักเท่าไหร่ และคงไม่ได้นำไปสู่การยกระดับสถานะหน่วยงานตำรวจให้เป็นกระทรวงตำรวจ ยกระดับเงินเดือน รายได้ หรือแม้แต่การโอนไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม ฯลฯ อันถือเป็นเพียงการ “รูดไป-รูดมา” ไม่ได้เป็นการ “ปฏิรูป” แบบจริงๆ จังๆ คือหนักไปทางเอามันซ์ซ์ซ์ เอาออกัสซั่ม ในหมู่แวดวงตัวเองซะเป็นหลัก และคงมิอาจส่งผลให้รัฐบาลใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าก่อนเลือกตั้ง หรือหลังเลือกตั้ง สามารถสร้าง “ธรรมาภิบาล” ขึ้นมาได้ถนัดๆ ชนิดกระทั่งรัฐบาล คสช.เอง ยังหนีไม่พ้นต้องถูก “ถามกลับ” กันเห็นๆ และถ้าหากดันไปตอบว่า “ผมไม่รู้...หนูไม่รู้!!!” หรือ “ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า มันซื้อ-ขายกันยังไง” อันนี้...เสร็จ!!! แทบไม่ต้องเสียเวลาถามต่อไปอีก 2 ข้อ 3 ข้อ หรืออีกกี่ข้อก็แล้วแต่...
ด้วยเหตุนี้...งานนี้ต้องถือเป็น “งานช้าง” อยู่พอสมควรมิใช่น้อย ใครที่ปรับตัวไม่ทัน หรือไม่คิด “ปฏิรูปตัวเอง” เอาไว้ซะก่อนเนิ่นๆ โอกาสที่จะต้องถูกตรวจวัตถุระเบิด หรือถูกชันสูตรพลิกศพซะเอง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ มีสิทธิวงแตก หรือไปกันเป็นแผงๆ เอาเลยก็ย่อมได้ ยิ่งพยายามหันไปแก้หมากแก้เกม แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มาเข้ากรุเอาไว้ก่อน ไม่เพียงไม่ได้ส่งผลให้อะไรกระเตื้องขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ยังกลับทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างร้อนฉ่าหนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะงานนี้...มันไม่ใช่เรื่อง “ตัวบุคคล” เรื่องของพี่ๆ-น้องๆ แต่เพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของ “ระบบ” เรื่องของ “แนวทาง” ที่มีแต่ต้องยึดเอาประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง...