xs
xsm
sm
md
lg

ญี่ปุ่นแก่มาก จะกระทบไทยอย่างไร

เผยแพร่:   โดย: เอนก เหล่าธรรมทัศน์


นัดลูกสี่คนมาพบกันที่ญี่ปุ่นครับ เรา สองคนบินจากกรุงเทพฯ ไปดูงานที่นั่นพร้อมลูกชายคนโต อาจารย์หนุ่มวัย 28 ของธรรมศาสตร์ ไปพบกับลูกสาวสองคนอายุ 28และ 26 หมอทั้งคู่ เรียนและฝึกฝนที่อเมริกา กับลูกชายสุดท้อง อายุ 25 ทำปริญญาเอกทางประสาทศาสตร์อยู่ที่เท็กซัส นานๆ จะพร้อมหน้าพร้อมตา ไปดูงานแถบเกียวโต นารา โอซาก้า โกเบ แต่ที่ดีไม่น้อยกว่าคือไปเยือน รร มัธยม "ยานากาวา" ตั้งอยู่ในเมืองเกษตรเล็กๆ ในชนบทที่สะดวก สบาย น่ารัก สงบ บนเกาะคิวชูเกือบใต้สุดของญี่ปุ่นโน่น

มาเที่ยวนี้ได้รู้ได้เห็นอะไรไม่น้อย และได้แลกเปลี่ยนความคิดมากมายกับคนญี่ปุ่นและคนไทยที่สันทัดเรื่องญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ดร เชาว์ เต็มรักษ์ ผู้เรียนและทำงานในญี่ปุ่นมาเก้าปี และเป็นเจ้าของร่วม รร มัธยม "ยานากาวา" สาขาต่างประเทศของโรงเรียนยานากาวาในญี่ปุ่น อยู่ที่นครศรีธรรมราช

ที่เห็นกับตา คนญี่ปุ่นตอนนี้แก่กว่าคนประเทศใดในโลกครับ คนอายุร้อยปีขึ้นมีกว่าครึ่งแสนแล้ว คือ 65,000 คน ไปไหนก็เห็นคนแก่อายุ 65 ขึ้นไป อยู่ทั่วไป มีเกือบหนึ่งสี่ คือ ราวร้อยละ 23 ของมวลประชากรแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตช้ามาก กล่าวได้ว่ายี่สิบกว่าปีมานี้เศรษฐกิจแทบจะไม่โตเลย ญี่ปุ่นต้องพยายามทำนโยบายใหม่ๆ เช่นสนับสนุนผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้วให้ทำงานด้วย ใช้การท่องเที่ยวดึงดูดเงินจากนักเที่ยวต่างประเทศเป็นล่ำเป็นสัน กดดอกเบี้ยจนต่ำเป็นศูนย์ เพิ่มปริมาณเงินที่ไหลเวียน จนถึงเร่งส่งธุรกิจ วิสาหกิจ ผู้ประกอบการ หรือ นักวิชาชีพจำนวนมาก ออกนอกประเทศ ไปยังตลาดที่เติบโตสูงกว่า หารายได้จากตลาดต่างประเทศเหล่านี้ ส่งกลับเข้าประเทศที่เศรษฐกิจแทบจะไม่โตขึ้นเลย

ผมชื่นชมคนญี่ปุ่นเสมอ เขาถูกฝึกมาให้สุภาพ ขยัน ทรหดอดทน เป็นนักต่อสู้ นักแก้ปัญหา บากบั่นทำทุกสิ่งที่ต้องทำ แก้ทุกปัญหาที่ต้องประสบ ในยามโชคดีหรือรุ่งโรจน์ก็ไม่ประมาทหรือลิงโลด ในยามอับเฉาหรือเผชิญเคราะห์กรรมก็ไม่หวั่นไหว หรือสะทกสะท้าน แก้ไขไป สู้ไป ขณะนี้กล่าวได้ว่าชาวญี่ปุ่นอยู่กับคนแก่จำนวนมากๆ จนชินแล้ว และ คนแก่จำนวนหนึ่งก็หาอะไรทำสารพัด แก้เบื่อและช่วยรายได้ตนเอง รวมถึงการทำเกษตรกรรมและการขับรถแท็กซี่ จนอายุ 70 หรือ 75 ปีก็มี คนญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัยทุกฐานะอยู่กับเศรษฐกิจที่แทบจะหยุดนิ่งในเชิงปริมาณจนเป็นเรื่องปกติได้เช่นกัน

ในทางกลับกัน คนญี่ปุ่นจำนวนมาก ซึ่งโดยปกติจะมีความสามารถทางภาษาต่างประเทศต่ำมาก ไม่สันทัดเอาสักภาษา ก็ฝืนทนอยู่ ทนทำงานในทุกทวีป ราว 1.2 ล้านคน แต่ที่อยู่กันมากก็คือ สหรัฐ ยุโรป จีน และ อาเซียน โปรดทราบว่ากรุงเทพฯ ของเราจัดเป็นเมืองหนึ่งที่มีญี่ปุ่นนอกประเทศอาศัยอยู่ทำงานอยู่มาก อยู่อย่างมีความสุขด้วย ไม่ต้องทนอยู่ อยู่มากเป็นเมืองอันดับสี่ของโลกทีเดียว รองจาก ลอสแอนเจลิส นิวยอร์ค และ เซี่ยงไฮ้ เท่านั้น มีชาวญี่ปุ่นถึงสามหมื่นกว่าคนอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ในอาเซียนทั้งหมดนั้น มีคนญี่ปุ่นทำงานอยู่ในประเทศไทยมากที่สุด มีอยู่กว่าห้าหมื่นคน ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ นั้น มีมากกว่าที่อยู่ในกรุงปักกิ่ง ในกรุงโซล ในสิงคโปร์ และมากกว่าในทุกเมืองหลวงที่เหลือของอาเซียน คงไม่ทราบกันมากนะครับว่ามีบริษัทญี่ปุ่นอยู่ในไทยเราถึงเกือบห้าพันบริษัท การลงทุนของญี่ปุ่นในภูมิภาคอาเซียนนั้น ปรากฏว่าลงในไทยมากที่สุด ครับ เป็นร้อยละสามสิบของที่ทุนที่ลงในอาเซียนทั้งหมด รองลงมาเป็นอันดับสอง ลงทุนคิดเป็นร้อยละ 18 คือในสิงคโปร์ ส่วน อันดับสาม ลงร้อยละ 16 คือในเวียดนาม ในพม่าที่ฮือฮากันมากว่าญี่ปุ่นกำลัง "ยกพลขึ้นบก" นั้น จริงๆแล้ว เพิ่งจะลงทุนไปคิดเป็นเพียงร้อยละ 2 ของการลงทุนของเขาในอาเซียน

คนญี่ปุ่นนั้น เช่นเดียวกับอีกหลายชาติ รักเมืองไทย ชอบเมืองไทย หลงใหลในคนไทยและเมืองไทยไม่น้อย ซึ่งเรามักไม่ค่อยรู้นะครับว่ามีคนอื่นที่เขารักและนิยมเรา ปีๆหนึ่ง ชาวญี่ปุ่นจะมาเที่ยวไทยถึงหนึ่งล้านสี่แสนคนทีเดียว รวมถึงคนแก่ญี่ปุ่นด้วย จึงมีช่องทางที่เราจะนำคนแก่ญี่ปุ่นมาอาศัยพักผ่อนและดูแลตนเองในไทย หรือกระทั่งมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้คนไทยได้ แต่น่าจะเป็นในช่วงที่เขายังแข็งแรงพอควรเท่านั้น ครับ เมื่อเขาป่วยหนักและใกล้จะถึงวันสุดท้ายของชีวิตนั้น คงอยากกลับไปเจ็บ กลับไปตายที่บ้าน มากกว่า แต่แค่เขามาใช้ชีวิตหลังเกษียณในไทยบ้างก็คงนำโอกาสทางเศรษฐกิจมาให้เราไม่น้อย อาชีพหมอพยาบาลผู้บริบาลคนแก่ คงไปได้ดี ธุรกิจพยาบาล บริบาล การแพทย์ การฟื้นฟูธุรกิจบ้านจัดสรร หรืออสังหาฯ อื่นๆ ที่เกี่ยวโยงกับคนแก่ คงจะบูมครับ เมื่อรวมไปถึงโอกาสจากขบวนคนแก่ของยุโรปที่จะอพยพถ่ายเทออกมา มาบรรจบกันในประเทศไทย แต่ที่ต่างกันคือคนแก่ฝรั่งนั้นอาจมาใช้ชีวิตได้ยาวนานต่อเนื่องจนถึงตายในไทยได้สะดวกกว่า เพราะไม่ติดเรื่องที่จะต้องกลับไปตายในบ้านเกิดอย่างชาวญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นใหม่ที่อุดมไปด้วยคนในวัยชรา และขาดแคลนแรงงานเยาวชนอย่างรุนแรง นอกจากจะใช้โรบอทแล้ว ในระยะหลังรัฐบาลยังมีนโยบายเปิดให้บรรดานักเรียนนักศึกษาจากต่างชาติมาทำงานได้แทบทุกด้านในระหว่างเรียนอยู่ หรือฝึกงานทำงานต่อหลังจบได้ไม่จำกัดเวลา ขอเพียงมาฝึกภาษาญี่ปุ่นจนใช้การได้เท่านั้น ตรงนี้แหละครับที่บรรดาผู้ปกครองทั้งหลายน่าคิด ส่งลูกหลานมาเรียนที่ญี่ปุ่นไม่ยาก ในชั้นอาชีวะ ช่างฝีมือ ก็ได้ หรือในระดับวิทยาลัย หรือ มหาวิทยาลัยก็ได้ ซึ่งคุณภาพการศึกษาเขานั้น อย่าลืม อยู่ในระดับโลกทั้งนั้น ข้อเด่นคือเงินจากการทำงานนั้นจะพอกับเล่าเรียนและกินอยู่ได้พอดี ยกเว้นในบางคณะวิชาอาจต้องมีเงินเพิ่มจากทางบ้าน แต่ข้อที่ผมคิดว่าวิเศษยิ่งคือเยาวชนของเราจะได้มาซึมซับคุณค่าและได้นิสัยการทำงานและการใช้ชีวิตเป็น สู้เป็น ของคนญี่ปุ่นด้วย และยังมีโอกาสกลับไปทำงานเงินเดือนดียิ่งกับบริษัทญี่ปุ่นทั่วไทยและทั่วโลกด้วย ซึ่งชาวญี่ปุ่นหลายคนยืนยันกับผมว่าญี่ปุ่นและไทยนั้นเข้ากันได้ เป็นพุทธด้วยกัน มีนิสัยใจคอและมารยาทหลายอย่างคล้ายกัน ทำงานด้วยกันได้ดี ในยามที่นักธุรกิจญี่ปุ่นแก่ลงไปมาก มีจำนวนน้อยลงไปมาก คนไทยเราที่รู้ภาษาญี่ปุ่นเข้าใจญี่ปุ่นอยู่ในวัยทำงานอาจจะช่วยเขาได้ไม่น้อยครับในอาเซียนและในเอเชีย

ผมตระหนักว่าไทยเราก็กำลังแก่ตามญี่ปุ่น ไม่ห่างเขามากนัก แต่ไม่อยากมองสังคมคนแก่ใน "แง่ลบ" คิดเห็นอะไรเป็น"ปัญหา" เสียหมด ผมชวนพวกเราให้เห็นอะไรเป็น"โอกาส" เสียบ้าง เริ่มจากมอง"ปัญหา"คนแก่ญี่ปุ่นให้เป็น"โอกาส"ของไทย ด้วยการฝึกคนไทยให้รู้และใช้ภาษาญี่ปุ่น ช่ำชองวิชาการความรู้แบบญี่ปุ่น เข้าถึงญี่ปุ่น และจากนี้ไปก็ตัองกลับมาคิดเรื่องคนแก่ของไทย ต้องคิดว่าจะดึงดูดคัดสรรเอาหนุ่มสาวของเพือนบ้านให้เข้ามาทำงาน มาเรียนภาษาและวัฒนธรรมไทย ฝึกพวกเขารับพวกเขาจำนวนหนึ่งให้มาเป็นไทย กลายเป็นคนไทยในเวลาที่เหมาะสม พวกเขาย่อมจะมาชดเชยการขาดแคลนแรงงานไทยวัยทำงาน โดยเฉพาะในงานหรืออาชีพที่ง่ายๆ ในขณะที่คนไทยอีกจำนวนหนึ่งที่กล่าวมาแล้วก็จะเข้าไปทดแทนหรือไปหนุนช่วยคนญี่ปุ่นทำในวิชาชีพที่สูงขึ้นหรือในธุรกิจทั่วอาเซียนของเขา

การแก้ปัญหาคนแก่ในญี่ปุ่นและในไทยควรมองให้เห็นเป็นโอกาสในการโยกย้ายคนข้ามประเทศเป็นสามเส้าคือ พม่า-ลาว-เขมร เป็นเส้าที่หนึ่ง มีไทยเป็นเส้ากลาง และญี่ปุ่นเป็นเส้าที่สาม คนแก่มากล้นของญี่ปุ่นนั้นจะเป็นโอกาสให้คนไทยในวัยทำงานที่ขันแข็ง ขวนขวาย เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นและวิทยาการของญี่ปุ่น ส่วนคนแก่มากล้นของไทยเอง ก็จะเป็นโอกาสให้หนุ่มสาววัยทำงานพื้นฐานจากประเทศเพื่อนบ้านติดไทย

เราจะได้เห็นโลกใหม่ ในไม่ช้า โลกที่มีผู้คนจากหลายชาติไหลเทโยกย้ายไปยังประเทศที่เหมาะสม ไปยกอาชีพและช่วยรายได้ของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้โครงสร้างประชากรของประเทศที่อพยพไปอยู่นั้น กลับมาสู่สมดุลย์ได้อีกครั้งหนึ่ง ในโลกใหม่นี้ปัญหาที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น อาจจะแก้ได้ อย่างน้อยก็บางส่วน จากพลังปัจจัยของเมืองไทย และปัญหาในเมืองไทยก็อาจแก้ได้ไม่น้อย จากพลังหรือจากปัจจัยในลาวพม่าเขมร


กำลังโหลดความคิดเห็น