พ่อ-แม่ ยุติศึกแย่งศพเณรปลื้ม โดยฝ่ายแม่ยินยอมให้ฝ่ายพ่อ นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ตร.ขอหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก1ราย
จากกรณีสมาเณรปลื้ม หรือศุภโชค เอกเกียรติกุล ถูกฆาตกรรมแล้วฝังศพ ก่อนเทปูนทับ ทำเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ภายในวัดวังตะวันตก อ.เมืองฯ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คลี่คลายคดี และขุดศพนำไปไว้ ศูนย์นิติเวชสุราษฎร์ธานี
ต่อมาเมื่อวันที่ 3มิ.ย. นายชวน เอกเกียรติกุล บิดาของสามเณรปลื้มได้ไปรับศพสามเณรปลื้ม จากศูนย์นิติเวชสุราษฎร์ธานี เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญกุศล ที่ภูมิลำเนาใน อ.หัวไทร โดยได้นำร่างของสามเณรปลื้ม กลับมาแวะยังวัดวังตะวันตก เพื่อประกอบพิธีเชิญวิญญาณ ณ จุดที่ฝังศพ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว กำลังจะนำศพกลับไปอ.หัวไทน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันท่ามกลางสายตาของคนจำนวนมาก คือนางกัลยา มินกระโทก มารดาของสามเณรปลื้ม ได้เข้าขัดขวาง และลากหีบศพของสามเณรออกจากรถ ท่ามกลางความตกตะลึงของพระสงฆ์ และชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ โดยนางกัลยา ต้องการให้ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ที่วัดวังตะวันตก
ขณะที่ พระครูพรหมเขตคณารักษ์ รักษาการเจ้าอาวาส ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยทั้ง 2 ฝ่าย โดยระบุว่าพร้อมที่จะดูแลไว้ให้ประกอบพิธีทางศาสนาภายในวัด เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ขณะที่การกระทบกระทั่งกันขึ้น ระหว่างนายชวน และนางกัลยา บิดา และมารดาของสามเณร จนลุกลามไปถึงญาติของทั้ง 2 ฝ่าย แต่เจ้าหน้าที่ได้เข้าขัดขวางไว้ได้ทัน ก่อนเชิญตัวทั้งบิดาและมารดาของสามเณรไปสงบสติอารมณ์ และไกล่เกลี่ยกันที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช
ขณะที่ศพของสามเณรปลื้ม ได้รับการสวดอภิธรรมเป็นคืนแรก ที่วัดวังตะวันตก โดยพระครูพรหมเขตคณารักษ์ รักษาการเจ้าอาวาส ให้การช่วยเหลือในการสวดศพภายในศาลาการเปรียญของวัด
อย่างไรก็ตาม ต่อมาทั้งนายชวน และนางกัลยา ก็สามารถตกลงกันได้ โดยนางกัลยา ยินยอมที่จะให้นายชวน นำศพของสามเณรปลื้ม กลับไปบำเพ็ญกุศล ยังภูมิลำเนาได้
ขณะที่ความคืบหน้าทางคดีนั้น พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้ทีมสืบสวนสอบสวนเข้าสืบสวนเส้นทางการเงินของ น.ส.ปิยฉัตร อรุณสกุล หรือ บิว และ นายเด่นชัย ภูมินิยม 2 สามีภรรยา ที่ตกเป็นผู้ต้องฆาตกรรมสามเณรปลื้ม รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้สามารถอายัดบัญชีของทั้งคู่ไว้ก่อนแล้ว มีวงเงินหมุนเวียนอยู่ในบัญชีหลายล้านบาท
โดยต้องสอบสวนว่า เงินจำนวนนี้ผู้ต้องหาได้มาอย่างไร เกี่ยวข้องต่อวัดหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การยึดทรัพย์เพื่อนำส่งคืนวัด ส่วนการยื่นประกันตัวของผู้ต้องหานั้น ศาลได้พิจารณายกคำร้อง ทำให้ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ตามคำร้องของพนักงานสอบสวน
**ขอหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก1ราย
ส่วนความคืบหน้าของคดี ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอหมายจับกุมตัว นายนที สีดอน อายุ 42 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ ได้สอบสวนจนพบว่า นายนที มีส่วนร่วมในการทำร้าย และร่วมกันขุดหลุมฝังสามเณรปลื้ม จนเสร็จขั้นตอนในการอำพรางศพ จึงยื่นขอหมายจับกุมไป ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ เพื่อปกปิดสาเหตุแห่งการตาย และร่วมกันทำลายศพ
ขณะนี้ นายนที อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ขณะเดียวกัน ยังเร่งติดตามตัว นายพิศิษฐ์ บุษบรรณ หรือ ป้าหลา อายุ 55 ปี สาวประเภทสองที่ถูกซัดทอดว่ามีส่วนร่วมด้วย โดยเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า หลังจากทำการฝังศพ และอำพรางพื้นที่เสร็จแล้ว มีการจ่ายค่าตอบแทนให้ทีมสมรู้ร่วมคิด รายละ 1 หมื่นบาท เป็นรางวัล
พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า คดีนี้อาจไปถึงขั้นการยึดทรัพย์ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนสอบสวนอสังหาริมทรัพย์ของวัด จำนวน 89 หลัง ที่มีการเก็บค่าเช่าเป็นวงเงินพอสมควร เงินจำนวนนี้ไปอยู่ที่ไหน เข้าบัญชีใครบ้าง เช่นเดียวกับการสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหา ที่มีความคืบหน้าไปมากแล้ว
จากกรณีสมาเณรปลื้ม หรือศุภโชค เอกเกียรติกุล ถูกฆาตกรรมแล้วฝังศพ ก่อนเทปูนทับ ทำเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ภายในวัดวังตะวันตก อ.เมืองฯ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คลี่คลายคดี และขุดศพนำไปไว้ ศูนย์นิติเวชสุราษฎร์ธานี
ต่อมาเมื่อวันที่ 3มิ.ย. นายชวน เอกเกียรติกุล บิดาของสามเณรปลื้มได้ไปรับศพสามเณรปลื้ม จากศูนย์นิติเวชสุราษฎร์ธานี เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญกุศล ที่ภูมิลำเนาใน อ.หัวไทร โดยได้นำร่างของสามเณรปลื้ม กลับมาแวะยังวัดวังตะวันตก เพื่อประกอบพิธีเชิญวิญญาณ ณ จุดที่ฝังศพ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว กำลังจะนำศพกลับไปอ.หัวไทน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันท่ามกลางสายตาของคนจำนวนมาก คือนางกัลยา มินกระโทก มารดาของสามเณรปลื้ม ได้เข้าขัดขวาง และลากหีบศพของสามเณรออกจากรถ ท่ามกลางความตกตะลึงของพระสงฆ์ และชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ โดยนางกัลยา ต้องการให้ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ที่วัดวังตะวันตก
ขณะที่ พระครูพรหมเขตคณารักษ์ รักษาการเจ้าอาวาส ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยทั้ง 2 ฝ่าย โดยระบุว่าพร้อมที่จะดูแลไว้ให้ประกอบพิธีทางศาสนาภายในวัด เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ขณะที่การกระทบกระทั่งกันขึ้น ระหว่างนายชวน และนางกัลยา บิดา และมารดาของสามเณร จนลุกลามไปถึงญาติของทั้ง 2 ฝ่าย แต่เจ้าหน้าที่ได้เข้าขัดขวางไว้ได้ทัน ก่อนเชิญตัวทั้งบิดาและมารดาของสามเณรไปสงบสติอารมณ์ และไกล่เกลี่ยกันที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช
ขณะที่ศพของสามเณรปลื้ม ได้รับการสวดอภิธรรมเป็นคืนแรก ที่วัดวังตะวันตก โดยพระครูพรหมเขตคณารักษ์ รักษาการเจ้าอาวาส ให้การช่วยเหลือในการสวดศพภายในศาลาการเปรียญของวัด
อย่างไรก็ตาม ต่อมาทั้งนายชวน และนางกัลยา ก็สามารถตกลงกันได้ โดยนางกัลยา ยินยอมที่จะให้นายชวน นำศพของสามเณรปลื้ม กลับไปบำเพ็ญกุศล ยังภูมิลำเนาได้
ขณะที่ความคืบหน้าทางคดีนั้น พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้ทีมสืบสวนสอบสวนเข้าสืบสวนเส้นทางการเงินของ น.ส.ปิยฉัตร อรุณสกุล หรือ บิว และ นายเด่นชัย ภูมินิยม 2 สามีภรรยา ที่ตกเป็นผู้ต้องฆาตกรรมสามเณรปลื้ม รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้สามารถอายัดบัญชีของทั้งคู่ไว้ก่อนแล้ว มีวงเงินหมุนเวียนอยู่ในบัญชีหลายล้านบาท
โดยต้องสอบสวนว่า เงินจำนวนนี้ผู้ต้องหาได้มาอย่างไร เกี่ยวข้องต่อวัดหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การยึดทรัพย์เพื่อนำส่งคืนวัด ส่วนการยื่นประกันตัวของผู้ต้องหานั้น ศาลได้พิจารณายกคำร้อง ทำให้ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ตามคำร้องของพนักงานสอบสวน
**ขอหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก1ราย
ส่วนความคืบหน้าของคดี ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอหมายจับกุมตัว นายนที สีดอน อายุ 42 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ ได้สอบสวนจนพบว่า นายนที มีส่วนร่วมในการทำร้าย และร่วมกันขุดหลุมฝังสามเณรปลื้ม จนเสร็จขั้นตอนในการอำพรางศพ จึงยื่นขอหมายจับกุมไป ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ เพื่อปกปิดสาเหตุแห่งการตาย และร่วมกันทำลายศพ
ขณะนี้ นายนที อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ขณะเดียวกัน ยังเร่งติดตามตัว นายพิศิษฐ์ บุษบรรณ หรือ ป้าหลา อายุ 55 ปี สาวประเภทสองที่ถูกซัดทอดว่ามีส่วนร่วมด้วย โดยเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า หลังจากทำการฝังศพ และอำพรางพื้นที่เสร็จแล้ว มีการจ่ายค่าตอบแทนให้ทีมสมรู้ร่วมคิด รายละ 1 หมื่นบาท เป็นรางวัล
พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า คดีนี้อาจไปถึงขั้นการยึดทรัพย์ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนสอบสวนอสังหาริมทรัพย์ของวัด จำนวน 89 หลัง ที่มีการเก็บค่าเช่าเป็นวงเงินพอสมควร เงินจำนวนนี้ไปอยู่ที่ไหน เข้าบัญชีใครบ้าง เช่นเดียวกับการสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหา ที่มีความคืบหน้าไปมากแล้ว