ผู้จัดการรายวัน360-ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องคดี "พล.ต.อ.พัชรวาท" ฟ้องบริษัทเอเอสทีวี บก.ผู้พิมพ์โฆษณา หมิ่นประมาท กรณีพาดพิงเป็นตอในคดีลอบสังหาร "สนธิ ลิ้มทองกุล" และการซื้อขายตำแหน่งโยกย้ายตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (28 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.2660/2552 คดี อ.2994/2552 และคดี อ.3490/2552 ที่นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความรับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท เอเอสทีวีผู้จัดการ จำกัด โดยนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ กรรมการบริษัท และนายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ASTV ผู้จัดการรายวัน เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326, 328, 83 และ 84
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2552 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 25 มิ.ย.-21 ก.ค. 2552 ลงข่าวในหน้า 3 ว่า “ทวงถามความคืบหน้าคดียิงสนธิ ... พล.ต.อ.ธานี ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่ามีการข่มขู่ให้หยุดสืบสาวราวเรื่อง ไม่เช่นนั้นจะถูกเบรกตำแหน่ง ..” และเขียนต่อไปว่า จึงขอให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญ โดยฉบับวันที่ 15 ก.ค. 2552 ลงข่าวว่า มีความเคลื่อนไหวในการขัดขวางการสอบสวนการทำคดีมาตลอด ถึงขั้นบิ๊กมีสี เรียกไปข่มขู่หลายครั้งให้ยุติ ทำให้หลายคนต้องหัวหด แม้กระทั่ง พล.ต.อ.ธานีออกมารับว่า “เจอตอ” ฉบับวันที่ 16 ก.ค. 2552 ก็ลงข่าวว่า พล.ต.อ.ธานียังไม่ได้รายงานความคืบหน้าไปบัง ผบ.ตร.แต่มีคนอื่นไปรายงานแล้ว
ฉบับวันที่ 17 ก.ค. 2552 ลงข่าวอีกว่า คำพูดของ พล.ต.อ.ธานี ที่เหลืออด ที่ถูกขู่และหาว่ามีตำรวจเป็นไส้ศึก และว่า การทำคดีลอบสังหารนายสนธิมีอุปสรรค จนทำให้นายตำรวจหลายคนต้องถอย ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 2552 ลงข่าวอีกว่า หักพัชรวาท มาร์ค ทันเกม ไส้ศึก ย้ายกลับมือดีมาทำคดีสนธิ นายกฯมีข้อมูลใครสั่งฆ่า สั่งตำรวจสืบสวนต่อ หลังพัชรวาท สั่งย้าย อ้างกลับไปปฏิบัติภารกิจท่าสุราษฎร์ ... การอยู่ในตำแหน่งต่อไปทำให้คนหวาดผวา คำสั่งย้ายพัชรวาท มัดพัชรวาทขวางทำคดี ...พัชรวาทออกคำสั่งย้าย พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ แต่ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ไม่ได้หยุดปฏิบัติหน้าที่ พัชรวาทจึงสั่งย้าย พ.ต.อ.วิวัฒน์ ไปสุราษฎร์ และฉบับวันที่21 ก.ค.2552 ก็ลงข่าวว่า พล.ต.ท.อัศวิน เป็นผู้รายงานคดีให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ทราบเป็นระยะ
ข้อความดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นโจทก์ ทำให้ประชาชนเชื่อว่าโจทก์ใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบ ไม่สนองนโยบายการทำงานของรัฐบาล ขัดขวางการสืบสวนคดีลอบฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล มิให้เป็นผลสำเร็จ และมีการข่มขู่โดยนายพลใหญ่ที่อยู่เหนือ พล.ต.อ.ธานี ซึ่งทำให้ทราบทันทีว่านายพลใหญ่คือโจทก์ และลงข่าวให้เข้าใจว่า โจทก์เป็นลงนามย้าย พ.ต.อ.วิวัฒน์ เพื่อขัดขวางการสืบสวน ทั้งชี้นำประชาชนให้เข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีสั่งย้ายมือดี คือ พ.ต.อ.วิวัฒน์ กลับมา อันเป็นการเสนอข่าวว่ามีการขัดแย้งในการสอบสวน และโจทก์เป็นผู้ขัดขวาง ทั้งที่ความจริงโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นคนสั่ง พล.ต.ท.ธานี ให้ปฏิบัติไปตามหน้าที่เอง โจทก์ไม่เคยขัดขวางการสอบสวน
นอกจากนี้ ยังได้ตีพิมพ์ข้อความทำนองว่า โจทก์มีส่วนรู้เห็นในการซื้อขายตำแหน่งการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ในวงการตำรวจ และ โจทก์มีรีสอร์ท หรูราคา 100 ล้านบาทซึ่งใส่ชื่อบุตรสาวถือครองแทน ทำนิติกรรมอำพราง ทุจริต ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ บีบบังคับผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิดกฎหมาย บริหารงานตกต่ำและไร้ประสิทธิภาพ และทุจริตงบประมาณ งบประชาสัมพันธ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 18 ล้านบาท การกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นการใส่ความโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมายและลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์หลายฉบับเป็นเวลา 7 วันต่อไป
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาสั่งปรับเฉพาะจำเลยที่ 1 จำนวน 2.5 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 2 ขณะที่ศาลฎีกา เห็นฟ้องศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (28 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.2660/2552 คดี อ.2994/2552 และคดี อ.3490/2552 ที่นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความรับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท เอเอสทีวีผู้จัดการ จำกัด โดยนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ กรรมการบริษัท และนายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ASTV ผู้จัดการรายวัน เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326, 328, 83 และ 84
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 30 ก.ค.2552 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 25 มิ.ย.-21 ก.ค. 2552 ลงข่าวในหน้า 3 ว่า “ทวงถามความคืบหน้าคดียิงสนธิ ... พล.ต.อ.ธานี ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่ามีการข่มขู่ให้หยุดสืบสาวราวเรื่อง ไม่เช่นนั้นจะถูกเบรกตำแหน่ง ..” และเขียนต่อไปว่า จึงขอให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญ โดยฉบับวันที่ 15 ก.ค. 2552 ลงข่าวว่า มีความเคลื่อนไหวในการขัดขวางการสอบสวนการทำคดีมาตลอด ถึงขั้นบิ๊กมีสี เรียกไปข่มขู่หลายครั้งให้ยุติ ทำให้หลายคนต้องหัวหด แม้กระทั่ง พล.ต.อ.ธานีออกมารับว่า “เจอตอ” ฉบับวันที่ 16 ก.ค. 2552 ก็ลงข่าวว่า พล.ต.อ.ธานียังไม่ได้รายงานความคืบหน้าไปบัง ผบ.ตร.แต่มีคนอื่นไปรายงานแล้ว
ฉบับวันที่ 17 ก.ค. 2552 ลงข่าวอีกว่า คำพูดของ พล.ต.อ.ธานี ที่เหลืออด ที่ถูกขู่และหาว่ามีตำรวจเป็นไส้ศึก และว่า การทำคดีลอบสังหารนายสนธิมีอุปสรรค จนทำให้นายตำรวจหลายคนต้องถอย ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 2552 ลงข่าวอีกว่า หักพัชรวาท มาร์ค ทันเกม ไส้ศึก ย้ายกลับมือดีมาทำคดีสนธิ นายกฯมีข้อมูลใครสั่งฆ่า สั่งตำรวจสืบสวนต่อ หลังพัชรวาท สั่งย้าย อ้างกลับไปปฏิบัติภารกิจท่าสุราษฎร์ ... การอยู่ในตำแหน่งต่อไปทำให้คนหวาดผวา คำสั่งย้ายพัชรวาท มัดพัชรวาทขวางทำคดี ...พัชรวาทออกคำสั่งย้าย พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ แต่ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ไม่ได้หยุดปฏิบัติหน้าที่ พัชรวาทจึงสั่งย้าย พ.ต.อ.วิวัฒน์ ไปสุราษฎร์ และฉบับวันที่21 ก.ค.2552 ก็ลงข่าวว่า พล.ต.ท.อัศวิน เป็นผู้รายงานคดีให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ทราบเป็นระยะ
ข้อความดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นโจทก์ ทำให้ประชาชนเชื่อว่าโจทก์ใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบ ไม่สนองนโยบายการทำงานของรัฐบาล ขัดขวางการสืบสวนคดีลอบฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล มิให้เป็นผลสำเร็จ และมีการข่มขู่โดยนายพลใหญ่ที่อยู่เหนือ พล.ต.อ.ธานี ซึ่งทำให้ทราบทันทีว่านายพลใหญ่คือโจทก์ และลงข่าวให้เข้าใจว่า โจทก์เป็นลงนามย้าย พ.ต.อ.วิวัฒน์ เพื่อขัดขวางการสืบสวน ทั้งชี้นำประชาชนให้เข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีสั่งย้ายมือดี คือ พ.ต.อ.วิวัฒน์ กลับมา อันเป็นการเสนอข่าวว่ามีการขัดแย้งในการสอบสวน และโจทก์เป็นผู้ขัดขวาง ทั้งที่ความจริงโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นคนสั่ง พล.ต.ท.ธานี ให้ปฏิบัติไปตามหน้าที่เอง โจทก์ไม่เคยขัดขวางการสอบสวน
นอกจากนี้ ยังได้ตีพิมพ์ข้อความทำนองว่า โจทก์มีส่วนรู้เห็นในการซื้อขายตำแหน่งการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ในวงการตำรวจ และ โจทก์มีรีสอร์ท หรูราคา 100 ล้านบาทซึ่งใส่ชื่อบุตรสาวถือครองแทน ทำนิติกรรมอำพราง ทุจริต ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ บีบบังคับผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิดกฎหมาย บริหารงานตกต่ำและไร้ประสิทธิภาพ และทุจริตงบประมาณ งบประชาสัมพันธ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 18 ล้านบาท การกระทำของจำเลยทั้งสอง เป็นการใส่ความโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมายและลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์หลายฉบับเป็นเวลา 7 วันต่อไป
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาสั่งปรับเฉพาะจำเลยที่ 1 จำนวน 2.5 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 2 ขณะที่ศาลฎีกา เห็นฟ้องศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 2