ผู้จัดการรายวัน 360 - “บิ๊กต๊อก” ขีดเส้น 30 พ.ย.นี้จับ “ธัมมชโย” ทันทีที่อัยการสั่งฟ้อง ลั่นไม่มีเหตุผลให้เลี่ยงอีก ยันพนักงานสอบสวนมั่นใจในสำนวนแล้ว ยันการข่าวระบุยังอยู่ในวัดธรรมกาย
วานนี้ (22 พ.ย.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่า คดีนี้แม้จะเป็นหมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่เชื่อมโยงกับอัยการด้วย ถ้าอัยการไม่ฟ้อง หรือทำสำนวนไม่เรียบร้อยก็จะนำตัวมาลำบาก ดังเช่นการไปนำตัวครั้งแรกที่มีปัญหาเนื่องจากอัยการไม่เห็นด้วยกับสำนวนของดีเอสไอ ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะนำตัวพระธัมมชโยมาส่งให้อัยการ แต่ถ้าอัยการไม่สั่งฟ้องก็จบอยู่ดี
“บ้านเมืองนี้ต้องอยู่ด้วยกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย ผมไม่เชื่อว่าใครจะอยู่เหนือกฎหมายได้ เพียงแต่ทุกคนย่อมต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม โดยกรณีนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมจะมองว่าวัดพระธรรมกายท้าทาย แต่ผมไม่เชื่อว่าสังคมจะยอมรับการท้าทาย ผมอยากให้สังคมแยกเรื่องกฎหมายกับศาสนาออกจากกัน ไม่อยากให้ไปมองในเรื่องของการท้าทาย เดี๋ยวจะเป็นปัญหาปะทุขึ้นมาอีก” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากยิ่งช้าจะยิ่งทำให้วัดพระธรรมกายชะล่าใจหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า สิ่งที่ผ่านมามีคดีที่ไม่ฟ้องเพราะไม่มีหลักฐานที่มีความผิด เป็นบทเรียนให้สังคมหวั่นเกรงในเรื่องของอิทธิพลและการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราต้องมั่นใจเพราะอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการก็คนละยุคคนสมัย เขาคงมีเหตุผลของเขา โดยเหตุผลเดิมเขาอ้างเรื่องความไม่สงบเรียบร้อย ตนเลยบอกไปว่าจำเป็นต้องหารือกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ แต่อัยการไม่ต้องถามฝ่ายความมั่นคงก็ได้ เพราะเป็นอิสระต่อกัน
เมื่อถามอีกว่า ถ้าวันที่ 30 พ.ย.59 อัยการสั่งฟ้องจะพร้อมเข้าไปนำตัวพระธัมมชโยหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่พนักงานสอบสวนจะไม่ดำเนินการตามนั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำให้เด็ดขาด เพราะการเข้าไปครั้งแรกมีบทเรียนมาแล้วว่ามีปัญหากระทบกระทั่งกัน และไม่คุ้มค่าถ้านำตัวมาแล้วอัยการไม่สั่งฟ้อง ดังนั้นจึงต้องอดทนรออีกสักนิด เพื่อให้มั่นใจและพนักงานสอบสวนเห็นพ้องกับอัยการ
เมื่อถามว่า มีข่าวลือว่าพระธัมมชโยไม่ได้อยู่ที่วัดแล้ว พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ข่าวลือคือข่าวลือ ไม่ใช่ข่าวกรอง ตามข้อมูลแล้วตนได้รับรายงานว่ายังอยู่ในวัด อย่างไรก็ตาม เราได้กำชับเจ้าหน้าที่ไปแล้วในเรื่องการเข้า-ออกประเทศ แต่ก็เห็นกันแล้วว่าเรื่องหลบหนียังมีอยู่ในประเทศไทย เพราะเป็นเรื่องลำบากที่จะไปควบคุมทุกตารางเมตรในประเทศไทย.
วานนี้ (22 พ.ย.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่า คดีนี้แม้จะเป็นหมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แต่เชื่อมโยงกับอัยการด้วย ถ้าอัยการไม่ฟ้อง หรือทำสำนวนไม่เรียบร้อยก็จะนำตัวมาลำบาก ดังเช่นการไปนำตัวครั้งแรกที่มีปัญหาเนื่องจากอัยการไม่เห็นด้วยกับสำนวนของดีเอสไอ ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะนำตัวพระธัมมชโยมาส่งให้อัยการ แต่ถ้าอัยการไม่สั่งฟ้องก็จบอยู่ดี
“บ้านเมืองนี้ต้องอยู่ด้วยกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย ผมไม่เชื่อว่าใครจะอยู่เหนือกฎหมายได้ เพียงแต่ทุกคนย่อมต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม โดยกรณีนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สังคมจะมองว่าวัดพระธรรมกายท้าทาย แต่ผมไม่เชื่อว่าสังคมจะยอมรับการท้าทาย ผมอยากให้สังคมแยกเรื่องกฎหมายกับศาสนาออกจากกัน ไม่อยากให้ไปมองในเรื่องของการท้าทาย เดี๋ยวจะเป็นปัญหาปะทุขึ้นมาอีก” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากยิ่งช้าจะยิ่งทำให้วัดพระธรรมกายชะล่าใจหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า สิ่งที่ผ่านมามีคดีที่ไม่ฟ้องเพราะไม่มีหลักฐานที่มีความผิด เป็นบทเรียนให้สังคมหวั่นเกรงในเรื่องของอิทธิพลและการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราต้องมั่นใจเพราะอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการก็คนละยุคคนสมัย เขาคงมีเหตุผลของเขา โดยเหตุผลเดิมเขาอ้างเรื่องความไม่สงบเรียบร้อย ตนเลยบอกไปว่าจำเป็นต้องหารือกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ แต่อัยการไม่ต้องถามฝ่ายความมั่นคงก็ได้ เพราะเป็นอิสระต่อกัน
เมื่อถามอีกว่า ถ้าวันที่ 30 พ.ย.59 อัยการสั่งฟ้องจะพร้อมเข้าไปนำตัวพระธัมมชโยหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่พนักงานสอบสวนจะไม่ดำเนินการตามนั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำให้เด็ดขาด เพราะการเข้าไปครั้งแรกมีบทเรียนมาแล้วว่ามีปัญหากระทบกระทั่งกัน และไม่คุ้มค่าถ้านำตัวมาแล้วอัยการไม่สั่งฟ้อง ดังนั้นจึงต้องอดทนรออีกสักนิด เพื่อให้มั่นใจและพนักงานสอบสวนเห็นพ้องกับอัยการ
เมื่อถามว่า มีข่าวลือว่าพระธัมมชโยไม่ได้อยู่ที่วัดแล้ว พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ข่าวลือคือข่าวลือ ไม่ใช่ข่าวกรอง ตามข้อมูลแล้วตนได้รับรายงานว่ายังอยู่ในวัด อย่างไรก็ตาม เราได้กำชับเจ้าหน้าที่ไปแล้วในเรื่องการเข้า-ออกประเทศ แต่ก็เห็นกันแล้วว่าเรื่องหลบหนียังมีอยู่ในประเทศไทย เพราะเป็นเรื่องลำบากที่จะไปควบคุมทุกตารางเมตรในประเทศไทย.