ผู้จัดการรายวัน 360 - จ่อเรียกเพื่อน “น็อต อัครณัฐ” ที่อยู่ในเหตุการณ์ชกต่อยแถมบังคับคู่กรณีกราบรถให้ปากคำตำรวจ ชี้ต้องดูพฤติกรรมได้ห้ามปราม หรือสนับสนุนการกระทำผิดหรือไม่ พร้อมดูคลิปซ้ำอดีตพิธีกรดังห้ามคนเห็นเหตุการณ์พูดอาจเข้าข่ายมีความผิด ด้านทนายสงกานต์ เผยขี่รถกลับมาแล้วถือว่าไม่ได้หนี
จากกรณีการเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนระหว่างรถยนต์มินิสีเหลืองกับจักรยานยนต์ โดยปรากฏในคลิปนายอัครณัฐ หรือน็อต อริยฤทธิ์วิกุล อดีตพิธีกรจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ เได้กระชากทำร้ายร่างกายนายกิตติศักดิ์ หรือบอย สิงโต อายุ 25 ปี อาชีพฝ่ายคัดกรองเอกสาร สำนักงานสรรพากรพื้นที่ตลิ่งชัน และบังคับให้นายกิตติศักดิ์กราบรถ
วานนี้ (9 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ทรงพล วัธนชัย ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) ในฐานะรองโฆษก ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าทางคดี ว่า เบื้องต้นนายกิตติศักดิ์ได้ผ่าตัดจมูก ซึ่งต้องรอดูว่าแพทย์จะลงความเห็นอย่างไร หากสาหัสจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้เรียกตัวนายอัครณัฐมาสอบปากคำเพิ่มเติม และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม คือ ข่มขืนใจให้ผู้อื่นทำการหรือไม่กระทำการสิ่งใดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย
พล.ต.ต.ทรงพลกล่าวต่อว่า ส่วนจะเรียกเพื่อนของนายอัครณัฐที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาสอบสวนด้วยหรือไม่นั้น ได้สั่งพนักงานสอบสวนไปเรียบร้อยแล้ว ในการสอบสวนคดีต้องมีทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล รวมทั้งยังมีการตรวจเช็กกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุด้วย
ส่วนกรณีที่เพื่อนของนายอัครณัฐไม่ห้ามปรามถือว่ามีความผิดด้วยหรือไม่นั้น ต้องดูรายละเอียดอีกครั้งว่าเขาได้สั่งการหรือสนับสนุนการกระทำผิดด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องดูพฤติกรรมโดยรวม
สำหรับประเด็นที่เพื่อนนายอัครณัฐ พยายามบอกกับคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่ให้พูดอะไรนั้น ต้องดูว่าเข้าข่ายมีความผิดหรือไม่ พล.ต.ต.ทรงพลกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนรวมพยานหลักฐานในส่วนนี้ด้วย ถ้าเข้าข่ายต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหาอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นขั้นตอนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว ส่วนจะมีการพิจารณาพักใช้ใบขับขี่ของนายน็อตหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนในการใช้ดุลพินิจ ปกติจะยึดในกรณีที่ขับรถขณะเมาสุรา หรือขับรถเป็นที่น่าหวาดเสียวเท่านั้น แต่ในกรณีนี้ต้องให้ความเป็นธรรมแก่นายอัครณัฐด้วย
ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความและประธาน เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กล่าวว่า กรณีนี้มี 2 ประเด็นคือ 1.ตามที่ นายอัครณัฐ และทนายกล่าวหาว่าขี่ชนแล้วหนี แต่จากการรวบรวมพยานหลักฐานจนเห็นชัดเจนว่ามีการเฉี่ยวชนจริง จากนั้น นายกิตติศักดิ์ ได้ขี่ไปอีกระยะ ก่อนจะวนรถกลับมา ทางกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการหลบหนีเพราะถือว่ามีความสำนึกในผลที่ตนได้กระทำ
2.ในคลิป นายอัครณัฐ มีการกระชากคอเสื้อแล้วดึงลงมาจากรถ จยย.ถือเป็นการข่มขืนใจ กักขังหน่วงเหนี่ยว ใช้กำลังประทุษร้าย คาดว่าไม่เกินวันที่ 13 พ.ย.น่าจะไขกระจ่างทั้งหมด
จากกรณีการเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนระหว่างรถยนต์มินิสีเหลืองกับจักรยานยนต์ โดยปรากฏในคลิปนายอัครณัฐ หรือน็อต อริยฤทธิ์วิกุล อดีตพิธีกรจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ เได้กระชากทำร้ายร่างกายนายกิตติศักดิ์ หรือบอย สิงโต อายุ 25 ปี อาชีพฝ่ายคัดกรองเอกสาร สำนักงานสรรพากรพื้นที่ตลิ่งชัน และบังคับให้นายกิตติศักดิ์กราบรถ
วานนี้ (9 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ทรงพล วัธนชัย ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) ในฐานะรองโฆษก ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าทางคดี ว่า เบื้องต้นนายกิตติศักดิ์ได้ผ่าตัดจมูก ซึ่งต้องรอดูว่าแพทย์จะลงความเห็นอย่างไร หากสาหัสจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้เรียกตัวนายอัครณัฐมาสอบปากคำเพิ่มเติม และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม คือ ข่มขืนใจให้ผู้อื่นทำการหรือไม่กระทำการสิ่งใดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย
พล.ต.ต.ทรงพลกล่าวต่อว่า ส่วนจะเรียกเพื่อนของนายอัครณัฐที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาสอบสวนด้วยหรือไม่นั้น ได้สั่งพนักงานสอบสวนไปเรียบร้อยแล้ว ในการสอบสวนคดีต้องมีทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล รวมทั้งยังมีการตรวจเช็กกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุด้วย
ส่วนกรณีที่เพื่อนของนายอัครณัฐไม่ห้ามปรามถือว่ามีความผิดด้วยหรือไม่นั้น ต้องดูรายละเอียดอีกครั้งว่าเขาได้สั่งการหรือสนับสนุนการกระทำผิดด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องดูพฤติกรรมโดยรวม
สำหรับประเด็นที่เพื่อนนายอัครณัฐ พยายามบอกกับคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่ให้พูดอะไรนั้น ต้องดูว่าเข้าข่ายมีความผิดหรือไม่ พล.ต.ต.ทรงพลกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนรวมพยานหลักฐานในส่วนนี้ด้วย ถ้าเข้าข่ายต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหาอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นขั้นตอนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว ส่วนจะมีการพิจารณาพักใช้ใบขับขี่ของนายน็อตหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนในการใช้ดุลพินิจ ปกติจะยึดในกรณีที่ขับรถขณะเมาสุรา หรือขับรถเป็นที่น่าหวาดเสียวเท่านั้น แต่ในกรณีนี้ต้องให้ความเป็นธรรมแก่นายอัครณัฐด้วย
ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความและประธาน เครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กล่าวว่า กรณีนี้มี 2 ประเด็นคือ 1.ตามที่ นายอัครณัฐ และทนายกล่าวหาว่าขี่ชนแล้วหนี แต่จากการรวบรวมพยานหลักฐานจนเห็นชัดเจนว่ามีการเฉี่ยวชนจริง จากนั้น นายกิตติศักดิ์ ได้ขี่ไปอีกระยะ ก่อนจะวนรถกลับมา ทางกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการหลบหนีเพราะถือว่ามีความสำนึกในผลที่ตนได้กระทำ
2.ในคลิป นายอัครณัฐ มีการกระชากคอเสื้อแล้วดึงลงมาจากรถ จยย.ถือเป็นการข่มขืนใจ กักขังหน่วงเหนี่ยว ใช้กำลังประทุษร้าย คาดว่าไม่เกินวันที่ 13 พ.ย.น่าจะไขกระจ่างทั้งหมด