xs
xsm
sm
md
lg

แผ่นดินของไทย ปัญหาของคนไทย (16) : เรื่องที่ 16.1 การเมืองในสหรัฐอเมริกา ตอนที่ 3 ใครเลวน้อยที่สุดระหว่าง Trump กับ Clinton

เผยแพร่:   โดย: วีระศักดิ์ นาทะสิริ

โดย...วีระศักดิ์ นาทะสิริ

1. กล่าวนำ

ภาพที่ 1 http://www.salon.com/2016/09/29/report-donald-trump-broke-cuba-embargo-knowingly-conducted-illegal-business-in-communist-country/ (Donald John Trump) ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

ภาพที่ 2 http://www.msnbc.com/msnbc/what-hillary-clinton-missing-about-latino-voters (Hillary Diane Rodham Clinton) ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

เนื่องจากวันที่ 8 พ.ย. 2559 ที่จะถึงนี้จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริก ซึ่งมีผู้สมัครแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ 4 คนคือ Donald Trump จากพรรค Republican, Hillary Clinton จากพรรค Democrat (ดูภาพที่ 1 และภาพที่ 2), Gary Johnson ผู้สมัครจากพรรค Libertarian, และ Jill Stein จากพรรค Green (ดูภาพที่ 3 และภาพที่ 4)

*https://en.wikipedia.org/wiki/Gary_Johnson และ https://en.wikipedia.org/wiki/Jill_Stein ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มักจะเลือกผู้สมัครแข่งขันที่มาจากพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคคือ พรรค Republican กับพรรค Democrat สำหรับผู้สมัครอิสระ และผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นมักจะได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากประชาชนอเมริกันไม่มากพอที่จะชนะผู้สมัครแข่งขันจากทั้งพรรค Republican และพรรค Democrat ดังนั้น การเลือกดั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในวันที่ 8 พ.ย.นี้ จึงกลายเป็นการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างผู้สมัครตัวแทนพรรค Republican คือ นาย Donald Trump กับผู้สมัครตัวแทนพรรค Democrat คือ นาง Hillary Clinton

สำหรับในบทความนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงประวัติโดยสังเขป การกระทำที่สำคัญของผู้สมัครแข่งขันทั้งสองคนที่มาจากพรรค Republican และ Democrat คือ Donald Trump กับ Hillary Clinton เท่านั้น เพราะผู้สมัครแข่งขันจากพรรคการเมืองทั้งสองมีความเป็นไปได้สูง (มีความเป็นไปได้มากกว่าผู้สมัครแข่งขันจากพรรคอื่นๆ) ที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปนั่นเอง

2. ประวัติของผู้สมัครแข่งขันรับเลือกตั้งโดยสังเขป

2.1 Donald John Trump ผู้สมัครแข่งขันรับเลือกตั้งจากพรรค Republican

(1) ครอบครัว: Donald Trump เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และผู้จัดรายการโทรทัศน์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 1946 ได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตในเมือง New York ปัจจุบันมีอายุ 70 ปี และเป็นบุตรคนที่สองในห้าคนของ Fred และ Mary Trump (โดย Fred Trump ผู้เป็นบิดามีเชื้อสายเยอรมัน ประกอบอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ใน New York ส่วน Mary ผู้เป็นมารดามีเชื้อสายสกอตแลนด์)

(2) การศึกษาและการทำงานด้านธุรกิจ: Donald Trump จบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จาก Wharton School of the University of Pennsylvania ในปี1968 และได้เข้าทำงานกับบิดาในบริษัทก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ของบิดาคือ บริษัท Elizabeth Trump and Son ต่อมาในปี 1971 Donald Trump ได้รับมอบหมายจากบิดาให้เป็นผู้ดูแลกิจการแทน Donald Trump จึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัท Elizabeth Trump and Son มาใช้ชื่อว่า The Trump Organization

(3) ชีวิตสมรส: Donald Trump ได้แต่งงาน 3 ครั้ง โดยครั้งแรก ได้แต่งงานกับ Ivana Zelnickova ซึ่งเป็นนางแบบสาวชาวเช็ก (หมายเลข 1 ในภาพที่ 5) เมื่อเดือนเมษายน 1977 และมีบุตรด้วยกัน 3 คนดังนี้ คนแรกเป็นบุตรชายคนโตชื่อ Donald Jr., คนที่สองเป็นบุตรสาวชื่อ Evanka และคนที่สามเป็นบุตรชายชื่อ Eric Trump

*http://wonkette.com/605021/donald-trumps-great-sacrifice-was-dumping-his-wives-for-younger-women-says-surrogate ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

หลังจากได้หย่ากับ Ivana แล้ว ต่อมาในปี 1993 Donald Trump ก็ได้แต่งงานใหม่กับนักแสดงสาวสวย Marla Maples (หมายเลข 2 ในภาพที่ 5) โดยมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คนชื่อ Tiffany (ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูและพักอยู่กับมารดา Marla Maples เป็นส่วนใหญ่) และได้หย่ากับภรรยาคนที่สองในปี 1997

จากนั้นในปี 1998 Trump ได้เริ่มมีความสัมพันธกับนางแบบสาวชาวสโลวาเนียชื่อ Melania Knauss (หมายเลข 3 ในภาพที่ 5) โดยได้แต่งงานกันในเดือนมกราคม 2005 และต่อมาในเดือนมีนาคม 2006 Trumpและภรรยาคนที่สามก็มีบุตรชายด้วยกัน 1 คนคือ Barron William Trump โดยทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ (Nov 3, 2016)

สรุปแล้ว Trump มีภรรยาที่ได้จดทะเบียนสมรสด้วยกัน 3 คน และมีบุตรชายและหญิงรวม 5 คน

(4) ประสบการณ์การทำงาน : Donald Trump ได้เริ่มทำงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของบิดาตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ที่ Wharton School จนถึงปัจจุบัน ดังนั้น Trump จึงมีประสบการณ์ส่วนใหญ่จากการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น กิจการโรงแรม สนามกอล์ฟ อาคารสำนักงาน และอาคารที่พักให้เช่า เป็นต้น (ภาพที่ 6 คือ อาคารสำนักงานและที่พักให้เช่า ส่วนภาพที่ 7 คือ อาคารโรงแรม)

https://www.pinterest.com/pin/49398927136345943/ และhttp://www.citytripplanner.com/en/things-to- do_LasVegas/Trump-Hotel-Las-Vegas#.WBf9ef67rIU ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

2.2 Hillary Diane Rodham Clinton ผู้สมัครแข่งขันรับเลือกตั้งจากพรรค Democrat

(1) ครอบครัว: Hillary Clinton เป็นนักการเมืองพรรค Democrat เกิดเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 1947 ที่ Chicago รัฐ Illinois บิดาชื่อ Hugh Ellsworth Rodham มีเชื้อสายเวลส์ และอังกฤษ ประกอบอาชีพธุรกิจอุตสาหกรรมสิ่งทอ ส่วนมารดาชื่อ Dorothy Emma Howell มีเชื้อสายอังกฤษ สกอตต์ ฝรั่งเศส เวลส์ และดัตช์ผสมกัน โดย Hillary เป็นบุตรคนโต และมีน้องชายอีกสองคนคือ Hugh และ Tony

(2) การศึกษา: Hillary Clinton ได้เข้าศึกษาที่ Wellesley College และจบการศึกษาในปี 1969 จากนั้นได้ศึกษาต่อด้านกฎหมาย และได้รับปริญญาด้านกฎหมายซึ่งเรียกย่อๆว่า J.D.(The Juris Doctor หรือ Doctor of Law degree) จาก Yale Law School ในปี 1973

หลังจากจบการศึกษา Hillary Clinton ได้ทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมายประจำสภา Congress ต่อมาได้ย้ายไปที่รัฐ Arkansas และได้แต่งงานกับ Bill Clinton (ดูรูปที่ 8)ในปี 1975 โดยได้มีบุตรสาวด้วยกัน 1 คนชื่อ Chelsea (สำหรับ Bill Clinton เองก็ได้ศึกษากฎหมายจาก Yale Law School เช่นเดียวกับ Hillary และในปี 1977 Bill Clinton ก็ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการประจำรัฐ Arkansas และได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนี้จนถึงปี 1979)

http://rhg.thehuffingtonriposte.com/2015/05/want-to-get-rich-imitate-bill-and.html ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย และมีบทความที่น่าสนใจซึ่งมีชื่อว่า “There’s Money to Be Made For eight years, Bill wasn’t paid to speak in Nigeria. Once Hillary became secretary of state, he got $700,000 for a single talk.”( By James Freeman May 6, 2015 6:53 p.m. ET  THE WALL STREET JOURNAL)

(Read more: http://rhg.thehuffingtonriposte.com/2015/05/want-to-get-rich-imitate-bill-and.html#ixzz4 OftEoAFc ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)

ต่อมาในปี 1979 - 1981 Bill Clinton ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ Arkansas สมัยแรก ในขณะที่มีอายุเพียง 32 ปี (ดำรงตำแหน่งสมัยแรกเป็นเวลา 2 ปี) และได้รับเลือกในสมัยที่สองระหว่างปี 1983 - 1992 (ซึ่งในสมัยที่สองนี้ได้มีการแก้ไขให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ สมัยละ 4 ปี) การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ Bill Clinton ได้ทำให้ Hillary เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของรัฐ Arkansas ไปโดยปริยาย ต่อมาเมื่อ Bill Clinton ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสองสมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 1993 - 2001 Hillary จึงได้กลายเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกาไปในเวลาเดียวกัน

(3) ประสบการณ์ด้านการเมือง: เมื่อ Bill Clinton สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สองในปี 2001 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่ Hillary Clinton ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกของ New York และได้ดำรงตำแหน่งนี้จนถึงปี 2009

หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้ง (ต่อ Barack Obama) ในการเป็นตัวแทนพรรค Democrat ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2008 ต่อมาในปี 2009 Hillary Clinton ก็ได้รับการแต่งตั้งจาก Obama ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในปี 2013

โดยสรุปแล้ว Hillary Clinton ได้ใช้ชีวิตและปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองมาตั้งแต่ได้แต่งงานกับ Bill Clinton ในปี 1977 จนถึงปี 2013 ที่ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ รวมเป็นเวลานานถึง 36 ปี

3. การพิจารณาเลือกบุคคลจากการกระทำสิ่งที่ดี และการกระทำสิ่งที่ไม่ดีในอดีตที่ผ่านมา

ถ้าจะแบ่งกลุ่มบุคคลไม่ว่าเพศหญิงหรือเพศชายโดยพิจารณาจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของแต่ละบุคคลในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยไม่คำนึงปัจจัยในด้านความรู้ ด้านสุขภาพ และด้านอื่นๆ แล้ว จะพบว่า ในช่วงชีวิตของทุกคนจะกระทำสิ่งที่ดี และสิ่งที่ไม่ดี ตามอิทธิพลของความต้องการ ความคิด อารมณ์ ความรู้ ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล รวมทั้งสิ่งแวดล้อมและสิ่งตอบแทนในขณะนั้น (ดู B.F. Skinner, 1938,1953)

ดังนั้น ถ้าให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ (ceteris paribus) และพิจารณาเฉพาะตัวแปรการกระทำสิ่งที่ดี และการกระทำที่ไม่ดีของแต่ละบุคคลแล้ว ก็อาจจัดกลุ่มบุคคลได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้

3.1 กลุ่มบุคคลที่กระทำแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น (ดีที่สุด)

3.2 กลุ่มบุคคลที่กระทำสิ่งที่ดีมากกว่ากระทำสิ่งที่ไม่ดี (ดีมาก)

3.3 กลุ่มบุคคลที่กระทำสิ่งที่ดีเท่าๆ กับสิ่งที่ไม่ดี (ดีพอใช้)

3.4 กลุ่มบุคคลที่กระทำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดี (ไม่ดี)

3.5 กลุ่มบุคคลที่กระทำแต่งสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น (ไม่ดีมาก)

จากการจัดกลุ่มบุคคลข้างต้นจะพบว่า กลุ่มบุคคลในข้อ 3.1 จะดีที่สุด แต่บุคคลในกลุ่มนี้คงจะหายากเพราะคงจะมีแต่พระอรหันต์ที่กระทำแต่ความดีเท่านั้น ส่วนกลุ่มบุคคลในข้อ 3.2 เป็นบุคคลที่กระทำดีมากแต่รองลงมาจากข้อ 3.1 และกลุ่มบุคคลในข้อ 3.3 ที่กระทำดีพอใช้ ส่วนบุคคลอีกสองกลุ่มที่เหลือจะกระทำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่ากลุ่มบุคคลอื่นๆ จึงไม่ควรลงคะแนนเลือกหรือไม่ควรสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง

อย่างไรก็ดี ได้มีผู้ถามมาว่า แล้วผู้เขียนจะใช้อะไรมาเป็นมาตรวัดการกระทำสิ่งที่ดี และการกระทำสิ่งที่ไม่ดีของบุคคล ก็ขอตอบว่า อาจดูได้จากผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการกระทำของบุคคลนั้น ถ้าผลที่ตามมาได้สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อบุคคลอื่นและสังคมโลก (Social Damages) มากกว่าที่จะก่อให้เกิดผลดีแล้ว ก็ย่อมถือว่า บุคคลนั้นกระทำไม่ดีหรือทำสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าต้องการเลือกบุคคลที่มีพฤติกรรมที่ดีให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาแล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็อาจดูได้จากการกระทำของ Donald Trump และการกระทำของ Hillary Clinton ในอดีตที่ผ่านมาว่า ได้กระทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อบุคคลอื่นและสังคมโลกมากน้อยเพียงใด ถ้าบุคคลใดได้กระทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมอย่างมากมาย บุคคลนั้นก็ไม่ควรได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนต่อไปนั่นเอง

4. การกระทำที่สร้างความเสียหายต่อบุคคลอื่นและสังคมโลกของผู้สมัครรับเลือกเป็นประธานาธิบดี (Presidential Candidates)

4.1 การกระทำที่สร้างความเสียหายต่อบุคคลอื่นและสังคมโลกของ Donald Trump

(1) การแสดงความคิดเห็นต่อนักการเมือง และคนกลุ่มน้อยของ Donald Trump ได้สร้างความแตกแยกในสังคมอเมริกัน

Trump เป็นคนชอบพูดตรงๆ พูดทุกอย่างตามที่ตนเองคิดเพราะเชื่อมั่นว่า ตนเองถูกต้อง Trump ชอบวิจารณ์บุคคลอื่นโดยไม่รักษาน้ำใจของคนที่ตนวิจารณ์ ซึ่งบางครั้งอาจเรียกว่า เป็นคนปากเสีย (หรือปากสุนัข) และยังชอบพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยอีกด้วย เช่น การกล่าวหาผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวเม็กซิกันแบบเหมารวมว่า เป็นพวกค้ายาเสพติด และเป็นอาชญากร หรือการเปรียบเปรย Ted Cruz ว่า Lying Ted หรือการเรียก Jeb Bush ว่า Low Energy เป็นต้น

ผู้เขียนมีความเห็นว่า การที่ Trump ชอบพูดชอบวิจารณ์บุคคลอื่นตามที่ตนเองคิดหรือเชื่อนั้น คงเป็นเพราะ Trump ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อนจึงไม่รู้จักมารยาททางการเมือง และการที่เป็นนักธุรกิจมานานอาจทำให้ได้รับอิทธิพลจากการเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่มาเป็นเวลานาน จึงทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงจนทำให้เกิดความรู้สึกหลงตัวเอง (Egoism) มากกว่าคนปกติทั่วไปนั่นเอง

ความที่ปากเสียชอบวิจารณ์บุคคลอื่นไม่เพียงได้ทำให้ Trump ถูกโจมตีจากชนกลุ่มน้อย และจากสื่อต่างๆ รวมทั้งจากนักการเมืองของพรรค Republican และพรรค Democrat เท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความรู้สึกแตกแยกในกลุ่มชาวอเมริกันขึ้นอีกด้วย เพราะการพูดวิจารณ์ของ Trump ได้สร้างกลุ่มคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับ Trump ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งได้นำไปสู่การปะทะกันด้วยการใช้ความรุนแรงในเวลาต่อมาดังตัวอย่างในภาพที่ 9 การปะทะกันที่ San Diego รัฐ California

https://www.theguardian.com/us-news/2016/may/28/protesters-clash-with-police-outside-donald-trump-rally-in-san-diego (ที่มาของภาพขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)

(2) การแสดงความคิดเห็นต่อสตรีเพศบางคนของ Donald Trump ขัดกับหลักความเท่าเทียมกันทางเพศ (Gender Equality) ซึ่งเป็นหลักสากลที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป

การแสดงความคิดเห็นของ Trump ต่อสตรีเพศ ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า Trump มีความโน้มเอียงที่จะไม่ยอมรับหลักความเท่าเทียมกันทางเพศ (Gender Equality) ซึ่งเป็นหลักสากลที่นานาประเทศ และสหประชาชาติให้การยอมรับ ตัวอย่างเช่น Trump ได้กล่าวเปรียบเปรยโดยไม่ให้เกียรติต่อสตรีบางคน (ไม่ระบุชื่อ) ว่า เป็นหมูอ้วนบ้าง, เป็นหมาบ้าง, เป็นสิ่งสกปรกบ้าง และเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจบ้าง และยังได้วิจารณ์พิธีกรสาว Megyn Kelly แห่งสำนักข่าว Fox ในการให้สัมภาษณ์รายการสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง โดยกล่าวว่า “You can see there was blood coming out of her eyes” เป็นต้น (You คือ พิธีกรที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์, her eyes คือ ดวงตาของ Megyn Kelly พิธีกรสาว)

ในกรณีนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า Trump เป็นผู้ชายประเภทปากเสียที่ชอบเพศหญิงที่มีอายุน้อยกว่าตนเอง (คือ ไม่ชอบผู้หญิงที่มีอายุมากนั่นเอง) และอาจมีความเชื่อว่า การมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่มีอายุน้อยกว่าจะช่วยทำให้ตนเองไม่แก่ไปตามวัย ด้วยเหตุนี้ Trump จึงมีพฤติกรรมที่ชอบเปลี่ยนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางเพศด้วยกันจากหญิงที่มีอายุมากไปสู่หญิงที่มีอายุน้อยกว่า ซึ่งคล้ายคลึงกับความนิยมของผู้ชายเอเชียส่วนใหญ่ที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่อยู่ในวัยสาว มากกว่าหญิงที่สูงวัยหรือมีอายุมาก และอาจเป็นด้วยเหตุนี้ที่ทำให้ Trump ต้องการหย่าร้างกับภรรยาคนเก่าที่มีอายุมากเพื่อไปแต่งงานใหม่กับหญิงสาวที่มีอายุน้อยกว่านั่นเอง

4.2 การกระทำที่สร้างความเสียหายต่อบุคคลอื่นและสังคมโลกของ Hillary Clinton

(1) Benghazi Scandal: กรณีเบนกาซี-ทูตสหรัฐอเมริกาที่ Libya ได้ถูกสังหาร

*https://prof77.wordpress.com/politics/hillary-clinton-is-a-disaster/ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

สรุปรายงานข่าวจาก นสพ.เดอะ เทเลกราฟ ได้ระบุว่า ในวันที่ 11 ก.ย. 2012 กองกำลังติดอาวุธอิสลามได้โจมตีสถานทูตสหรัฐอเมริกาใน Benghazi ทำให้มีชาวอเมริกันเสียชีวิต 4 นาย (ดูภาพที่ 10 และ11) ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ออกมาชี้แจง (อย่างผิดๆ) ว่า การกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย แต่เป็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากการประท้วง

แต่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงภายหลังว่า กระทรวงต่างประเทศที่ Hillary Clinton เป็นรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ปฏิเสธการขอเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตามที่ทูตได้ร้องขอไป และ Hillary Clinton ยังได้ลงนามในคำสั่งให้ลดกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก่อนที่สถานทูตจะถูกโจมตีอีกด้วย (ข้อมูลจาก

http://www.politifact.com/wisconsin/statements/2014/may/19/ron-johnson/hillary-clintons-state-department-reduced-security/ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)

*http://www.hyscience.com/archives/2013/12/closed_door_hea.php ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

ในวงกลมสีแดงคือ U.S. Ambassador Christopher Stevens

ถ้ากรณีนี้เกิดกับสถานทูตญี่ปุ่นบ้าง ผู้เขียนเชื่อว่า รมต.ต่างประเทศของญี่ปุ่นคงประกาศลาออก หรือไม่ก็คงกระทำการฆ่าตัวตาย (Harakiri หรือ Seppuku)ไปแล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์สังหารทูตที่เกิดขึ้น แต่ตรงกันข้ามไม่น่าเชื่อว่า Hillary Clinton ซึ่งเป็นนักการเมืองอเมริกันจะหน้าด้านและไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้

(2) การที่ Hillary Clinton ลงคะแนนเสียงสนับสนุนการทำสงครามในอิรัก เมื่อปี 2002

ในปี 2009 Hillary Clinton ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกรัฐ New York และต่อมาในเดือนต.ค.ปี 2002 Hillary ก็ได้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนให้อำนาจประธานาธิบดี Bush ส่งทหารอเมริกันไปทำสงครามในอิรักเพื่อกำจัด Saddam Hussein

*http://www.zerohedge.com/news/2014-07-01/isis-caliphate-demands-all-muslims-immigrate-islamic-state ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

เมื่อ Saddam Hussein ได้ถูกกำจัดไปแล้ว ต่อมาในปี 2011 Muammar Gaddafi ผู้นำ Libya ก็ได้ถูกกำจัดโดยกลุ่มต่อต้าน ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นก็มุ่งที่จะกำจัด al Assad ผู้นำ Syria แต่ไม่ประสบความสำเร็จ การกำจัดผู้นำทั้งสองได้ทำให้เกิดช่องว่างของอำนาจ และเป็นโอกาสให้กองกำลังต่อต้านต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาได้รวมตัวกันจนเป็นกองกำลังติดอาวุธที่เข้มแข็งสามารถครอบครองพื้นที่บางส่วนของอิรัก และซีเรีย (ดูภาพที่ 12) จนสามารถจัดตั้งเป็นรัฐอิสลาม (The Islamic State) ที่มีผู้นำของรัฐอิสลามที่เรียกว่า กาลิบ หรือผู้นำชาวมุสลิมทั้งมวล (ดูภาพที่ 13) โดยนำเอากฎหมายอิสลามในอดีตมาใช้ในการปกครองประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่อยู่ในอำนาจของรัฐอิสลาม และยังได้เรียกร้องให้ชาวมุสลิมทั่วโลกอพยพมาอยู่ที่รัฐอิสลามอีกด้วย (เป็นการขอรับการสนับสนุนจากมุสลิมทั่วโลก - ความเห็นของผู้เขียน)

*http://www.nybooks.com/articles/2015/07/09/inside-islamic-state/ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

หลังจากได้ศึกษาสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว จึงน่าเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้มีส่วนอย่างสำคัญในการช่วยเหลือ และสนับสนุนกลุ่มต่อต้านต่างๆเพื่อกำจัดผู้นำอิรัก Saddam Hussein, ผู้นำลิเบีย Muammar Gaddafi และรวมทั้งผู้นำซีเรีย al-Assad ด้วย

ในกรณีนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า Hillary Clinton ในฐานะวุฒิสมาชิกได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สนับสนุนให้รัฐบาลสหรัฐทำสงครามกำจัด Saddam และสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธต่างๆ กำจัด Gaddafi ผู้นำของลิเบีย และ al-Assad ผู้นำของซีเรีย เพราะกองกำลังติดอาวุธต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เพียงได้รวมกันจัดตั้งเป็นรัฐอิสลามขึ้นเท่านั้น (ดูภาพที่ 12) แต่ยังทำให้รัฐอิสลามได้กลายเป็นสถานที่ฝีกอบรม และผลิตผู้ก่อการร้ายจำนวนมากออกไปก่อเหตุสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อบุคคลและสังคมในประเทศต่างๆ อีกด้วย

นอกจากนี้การที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย รัฐบาลลิเบีย และรัฐบาลอิรัก ได้ทำให้ชาวซีเรีย และชนชาติต่างๆ ต้องหลบหนีออกจากพื้นที่การสู้รบ (ในอิรัก ลิเบีย และซีเรีย) และอพยพไปยังยุโรป อเมริกา และประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก จนได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมในด้านต่างๆ ตามมา เช่น ปัญหาด้านที่พักอาศัย, ด้านสาธารณสุข, ด้านธรรมเนียมประเพณีที่ต่างจากชาวยุโรปเจ้าของประเทศ, ด้านการปฏิบัติศาสนากิจตามความเชื่อทางศาสนาที่ต่างกัน ด้านอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น และปัญหาด้านการก่อการร้ายที่เกิดจากผู้อพยพที่มาเติบโตในประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป และในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

(3) การส่งผ่านข้อมูลข่าวสารทาง E-mail ของ Hillary Clinton โดยใช้ server ส่วนตัว

*https://www.washingtonpost.com/news/post-nation/wp/2016/10/28/read-the-letter-comey-sent-to-fbi-employees-explaining-his-controversial-decision-on-the-clinton-email-investigation/ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

เมื่อวันศุกร์ที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา FBI Director James B. Comey ได้แจ้งต่อสภา Congress ว่า สำนักงาน FBI กำลังสืบสวนอีเมล์ที่ได้เพิ่มเติมมาใหม่ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีการส่งอีเมล์ของ Hillary Clinton (ผู้เขียนคาดว่า ข้อมูลที่ FBI ได้มาใหม่คงจะเกี่ยวข้องกับคนสนิทของ Hillary คือ Huma Abedin และสามี Anthony Weiner เพราะทั้งสองคนทำงานให้ Hillary มานาน )

*http://www.vanityfair.com/news/2016/07/how-is-huma-abedin-still-married-to-anthony-weiner ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

การใช้ Server ส่วนตัว จะทำให้บุคคลภายนอกที่มีความรู้ทาง Computer สามารถเจาะเข้าดูและเก็บข้อมูลต่างๆ จากอีเมล (ที่ใช้ Server ส่วนตัว) ได้โดยง่ายกว่า การใช้ Server ของทางราชการที่มีระบบป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเจาะเข้ามาในระบบได้

ดังนั้น จึงอาจอนุมานได้ว่า การที่ Hillary Clinton ส่งและรับอีเมลโดยใช้ Server ส่วนตัว คงเป็นเพราะไม่ต้องการให้บุคคลหรือหน่วยงานทางราชการได้รับรู้ข่าวสารข้อมูลที่มีการส่งและรับกันระหว่าง Hillary กับบุคคลที่ใกล้ชิดและมีผลประโยชน์ร่วมกัน และHillary ยังเชื่อว่า (คงไม่มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับ Computer) ถ้าใช้ Server ส่วนตัวแล้ว บุคคลภายนอก หรือแม้แต่หน่วยงานราชการก็คงจะไม่สามารถเจาะเข้ามาล่วงรู้ข้อมูลข่าวสารที่ตนเองส่งและรับได้

ในเรื่องนี้มีบทความเรื่อง “Sources: 99 percent chance foreign intel agencies breached Clinton server” ของสำนักข่าวฟอกซ์ออนไลน์ วันที่ 3 พ.ย. 2016 ได้ระบุว่า หน่วยงานราชการของสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ที่หน่วยงานด้านการข่าวของต่างประเทศ 5 แห่งสามารถเข้าถึงและล่วงรู้ข้อมูลข่าวสารในอีเมลต่างๆ ที่ Hillary ส่งและรับโดยใช้ Server ส่วนตัว

ในความคิดเห็นส่วนตัว ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่เพียงหน่วยงานด้านการข่าวของจีน รัสเซีย อังกฤษ อิสราเอล และเกาหลีเหนือเท่านั้น แต่ผู้ที่มีความรู้และทำงานด้าน Computer ก็คงมีขีดความสามารถที่จะเข้าถึงและล่วงรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในอีเมลของ Hillary ได้โดยไม่ยาก ดังตัวอย่างที่ Wikileak ได้นำอีเมลของ Hillary มาเผยแพร่ต่อสาธารณชนในเวลาที่ผ่านมา

5. บทสรุป

ผู้เขียนหวังว่า ข้อมูลที่เกี่ยวกับการกระทำของ Donald Trump และการกระทำของ Hillary Clinton ในอดีตที่ก่อให้เกิดความเสียต่อบุคคลอื่น และสังคมในข้อ 4 คงจะช่วยให้ผู้อ่านทุกท่านสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาได้ว่า ระหว่าง Donald Trump และ Hillary Clinton ใครได้กระทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมมากกว่า และถ้าบุคคลใดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ 3.4 หรือกลุ่มที่ 3.5 บุคคลนั้นก็ไม่สมควรได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนต่อไปนั่นเอง

ท้ายบทความ

เนื่องด้วยคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะจัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “รวมพลังยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก” ในวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ระหว่างเวลา 08.00- 14.30 น. ณ ห้องกรุงธน โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ จึงขอเชิญทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในวันเวลา และสถานที่ดังกล่าว กรุณามาลงทะเบียนรับเอกสารในเวลาที่กำหนด ขอบคุณครับ - วีระศักดิ์ นาทะสิริ
กำลังโหลดความคิดเห็น