วานนี้ (31 ต.ค.) มีการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรั ฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยก่อนการประชุม นายมีชัย ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งสาขาพรรคการเมืองแต่ละจังหวัดว่า แต่ละสาขาให้มีสมาชิกพรรค 500 คนตามเดิม ไม่ต้องตั้งสาขาพรรคให้ครบ 4 ภาคก็ได้ โดยเปิดช่องว่า จังหวัดใด มีสมาชิกแค่ 50–100คน ไม่ได้ตั้งสาขาพรรค ก็ให้ตั้งตัวแทนพรรคได้ เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการประชุมใหญ่ หรือวางนโยบาย
เมื่อถามถึงคุณสมบัติกรรมการบริหารพรรค นายมีชัย กล่าวว่า ขณะนี้เคาะแล้วว่า ต้องกำหนดให้คุณสมบัติเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อถามต่อว่าเท่ากับคนที่เคยถูกถอดถอน จะเป็นกรรมการบริหารพรรคไม่ได้ ใช่หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า เป็นไม่ได้ เดี๋ยวจะมาใช้วิชามาร
นายมีชัย กล่าวต่อว่า เบื้องต้น สัดส่วนตำแหน่งต่างๆ ที่พรรคการเมืองต้องมีคือ หัวหน้าพรรค เหรัญญิกพรรค และ นายทะเบียนพรรค ส่วนเรื่องการสรรหาผู้สมัครส.ส. ของพรรค ต้องมีคณะกก.สรรหา ประกอบด้วย ผู้บริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรค และ ตัวแทนพรรค ถ้าสรรหาแล้วเสร็จ แต่คณะกรรมการบริหารพรรคไม่เห็นด้วย ต้องนำกลับไปให้กรรมการสรรหาพิจารณาอีกครั้ง แต่หากกรรมการสรรหา ยังยืนยันตามเดิมไม่เปลี่ยน กรธ. กำลังคิดว่าจะกำหนดให้งดส่งผู้สมัครในเขตนั้น หรือจะให้เรียกประชุมใหญ่พรรค เพราะหาก กก.สรรหา กับกก.บริหารพรรค ตกลงกันไม่ได้ แล้วเราไปกำหนดให้ใครชี้ขาด ก็เป็นปัญหาอีก
ส่วนเรื่องการเปิดเผยรายชื่อผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมือง จะแยกเป็น 2 ส่วน คือ กรณีจัดงานระดมทุน หากใครที่ให้เงินพรรคมากกว่า 1 แสนบาท จะต้องเปิดเผยชื่อ ส่วนการบริจาค ถ้ามากกว่า 5 พันบาท ก็ต้องเปิดชื่อเช่นกัน
เมื่อถามว่า หากรธนงประกาศใช้แล้ว จะต้องยกเลิก มาตรา 44 เพื่อเปิดทางให้พรรคการเมืองประชุม กำหนดโครงสร้างพรรคให้เป็นไปตามกม.พรรคการเมืองฉบับใหม่ หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดูว่า อะไรบ้างที่ต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ เมื่อรธน.บังคับใช้ ก็ต้องดูว่าอะไรที่ต้องปรับให้สอดคล้อง ซึ่งไม่มีปัญหา หากรธน. กำหนดให้ทำอะไร พรรคการเมืองก็ต้องปฏิบัติตาม
ส่วนเรื่องการปรับแก้คำปรารภในร่างรธน.นั้น จะมีการหารือกันในที่ประชุมครม.วันนี้ (1พ.ย.) ก่อนส่งกลับมาให้ กรธ.ปรับแก้
ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายมีชัย กล่าวว่า มีเรื่องหนึ่งหากไม่พูด คงไม่ได้ กรณีที่อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย คนหนึ่งพูดว่า "ในร่างรธน.ที่ผ่านประชามติไปแล้ว มีบทบัญญัติว่า ราคาผลผลิตทางการเกษตร ให้เป็นไปตามกลไกตลาด ใครจะไปช่วยเกษตรกรไม่ได้ จำนำข้าวก็ไม่ได้ ประกันราคาข้าวก็ไม่ได้" นั้นเป็นความเท็จ ตั้งใจหลอกลวงชาวบ้านให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญ การกระทำแบบนี้ขาดความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง คนเป็นส.ส.ไม่ควรหลอกลวงชาวบ้านถึงขนาดนี้ รธน.ฉบับนี้ เราไม่ได้ใช้คำว่า กลไกตลาดสักคำ เพราะรธน.ปี 50 ได้ใช้คำว่า กลไกตลาด แต่รัฐบาลสมัยนั้นก็ทำ และฝ่าฝืน ไม่ได้พึ่งพากลไกตลาด กรธ.จึงคิดว่า กลไกตลาดบางแง่มุมอาจใช้ได้ แต่บางแง่มุมที่คนไม่ทัดเทียม ก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเวลาที่เราพูดถึงเกษตรกร จึงเขียนว่า "ให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแลเกษตรกร เรื่องต้นทุน ผลผลิต และการตลาด" เพื่อให้เขาสามารถแข่งขันได้ แทนที่จะไปพึ่งพากลไกตลาด ที่ตนกล้าพูดว่า เขากล่าวความเท็จ หลอกลวงชาวบ้าน เพราะเขาเป็น ส.ส. ควรจะรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ ตนก็ได้แต่ออกมาบอกประชาชนให้รับรู้ว่า คนที่เป็นส.ส.ใช้วิธีหลอกลวงชาวบ้าน แม้ปัจจุบันก็ยังหลอกลวงอยู่ กล้าพูดเท็จกลางบ้าน กลางเมือง ขอให้จำไว้ แต่ตนจะไม่ฟ้องร้องทางคดี ฟ้องแค่ประชาชนให้รับทราบก็พอแล้ว
เมื่อถามถึงคุณสมบัติกรรมการบริหารพรรค นายมีชัย กล่าวว่า ขณะนี้เคาะแล้วว่า ต้องกำหนดให้คุณสมบัติเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อถามต่อว่าเท่ากับคนที่เคยถูกถอดถอน จะเป็นกรรมการบริหารพรรคไม่ได้ ใช่หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า เป็นไม่ได้ เดี๋ยวจะมาใช้วิชามาร
นายมีชัย กล่าวต่อว่า เบื้องต้น สัดส่วนตำแหน่งต่างๆ ที่พรรคการเมืองต้องมีคือ หัวหน้าพรรค เหรัญญิกพรรค และ นายทะเบียนพรรค ส่วนเรื่องการสรรหาผู้สมัครส.ส. ของพรรค ต้องมีคณะกก.สรรหา ประกอบด้วย ผู้บริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรค และ ตัวแทนพรรค ถ้าสรรหาแล้วเสร็จ แต่คณะกรรมการบริหารพรรคไม่เห็นด้วย ต้องนำกลับไปให้กรรมการสรรหาพิจารณาอีกครั้ง แต่หากกรรมการสรรหา ยังยืนยันตามเดิมไม่เปลี่ยน กรธ. กำลังคิดว่าจะกำหนดให้งดส่งผู้สมัครในเขตนั้น หรือจะให้เรียกประชุมใหญ่พรรค เพราะหาก กก.สรรหา กับกก.บริหารพรรค ตกลงกันไม่ได้ แล้วเราไปกำหนดให้ใครชี้ขาด ก็เป็นปัญหาอีก
ส่วนเรื่องการเปิดเผยรายชื่อผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมือง จะแยกเป็น 2 ส่วน คือ กรณีจัดงานระดมทุน หากใครที่ให้เงินพรรคมากกว่า 1 แสนบาท จะต้องเปิดเผยชื่อ ส่วนการบริจาค ถ้ามากกว่า 5 พันบาท ก็ต้องเปิดชื่อเช่นกัน
เมื่อถามว่า หากรธนงประกาศใช้แล้ว จะต้องยกเลิก มาตรา 44 เพื่อเปิดทางให้พรรคการเมืองประชุม กำหนดโครงสร้างพรรคให้เป็นไปตามกม.พรรคการเมืองฉบับใหม่ หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดูว่า อะไรบ้างที่ต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ เมื่อรธน.บังคับใช้ ก็ต้องดูว่าอะไรที่ต้องปรับให้สอดคล้อง ซึ่งไม่มีปัญหา หากรธน. กำหนดให้ทำอะไร พรรคการเมืองก็ต้องปฏิบัติตาม
ส่วนเรื่องการปรับแก้คำปรารภในร่างรธน.นั้น จะมีการหารือกันในที่ประชุมครม.วันนี้ (1พ.ย.) ก่อนส่งกลับมาให้ กรธ.ปรับแก้
ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายมีชัย กล่าวว่า มีเรื่องหนึ่งหากไม่พูด คงไม่ได้ กรณีที่อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย คนหนึ่งพูดว่า "ในร่างรธน.ที่ผ่านประชามติไปแล้ว มีบทบัญญัติว่า ราคาผลผลิตทางการเกษตร ให้เป็นไปตามกลไกตลาด ใครจะไปช่วยเกษตรกรไม่ได้ จำนำข้าวก็ไม่ได้ ประกันราคาข้าวก็ไม่ได้" นั้นเป็นความเท็จ ตั้งใจหลอกลวงชาวบ้านให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญ การกระทำแบบนี้ขาดความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง คนเป็นส.ส.ไม่ควรหลอกลวงชาวบ้านถึงขนาดนี้ รธน.ฉบับนี้ เราไม่ได้ใช้คำว่า กลไกตลาดสักคำ เพราะรธน.ปี 50 ได้ใช้คำว่า กลไกตลาด แต่รัฐบาลสมัยนั้นก็ทำ และฝ่าฝืน ไม่ได้พึ่งพากลไกตลาด กรธ.จึงคิดว่า กลไกตลาดบางแง่มุมอาจใช้ได้ แต่บางแง่มุมที่คนไม่ทัดเทียม ก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเวลาที่เราพูดถึงเกษตรกร จึงเขียนว่า "ให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแลเกษตรกร เรื่องต้นทุน ผลผลิต และการตลาด" เพื่อให้เขาสามารถแข่งขันได้ แทนที่จะไปพึ่งพากลไกตลาด ที่ตนกล้าพูดว่า เขากล่าวความเท็จ หลอกลวงชาวบ้าน เพราะเขาเป็น ส.ส. ควรจะรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ ตนก็ได้แต่ออกมาบอกประชาชนให้รับรู้ว่า คนที่เป็นส.ส.ใช้วิธีหลอกลวงชาวบ้าน แม้ปัจจุบันก็ยังหลอกลวงอยู่ กล้าพูดเท็จกลางบ้าน กลางเมือง ขอให้จำไว้ แต่ตนจะไม่ฟ้องร้องทางคดี ฟ้องแค่ประชาชนให้รับทราบก็พอแล้ว