xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าไม่มี “ในหลวง” คง “ตายเป็นเบือ”! (ตอนสอง)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

โดยหลักการ..มนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงเข่นฆ่ากันและกัน!

แต่..การยึดอำนาจทางการเมือง-บางครั้ง..จบลงอย่างสันติ บางครา..จบลงด้วยการนองเลือด!

มะกัน-ที่มักอ้าง “สิทธิมนุษยชน-ประชาธิปไตย-สันติภาพโลก” เข้าไปเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง ในประเทศต่างๆอย่างสามานย์ ทั้งด้วยสันติและนองเลือด ถึงขั้นก่อสงครามกลางเมือง และส่งทหารบุกยึดชาติอื่นดื้อๆไปทั่วโลก

ทั้งนี้เพื่อปล้นทรัพยากรอันมีค่า และกอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กลับสู่ชาติของตนเองชนิดไม่รู้จักพอนั่นเอง

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยสันติและนองเลือดในชาติไทยที่ผ่านมา จึงมักมีคนไทยกลุ่มหนึ่งและมหาอำนาจตะวันตก เข้ามาเกี่ยวข้องทางลับไม่มากก็น้อยเสมอ

ในยุค “รัฐบาลไทย” ทำศึกกับ “พคท.” ท่ามกลางสงครามระหว่าง “ค่ายโลกเสรี” กับ“ค่ายโลกคอมมิวนิสต์” และค่ายคอมมิวนิสต์ “โซเวียต” แตกคอกับค่ายคอมมิวนิสต์ “จีน”

โดย “พคท.” มีกองกำลังติดอาวุธ ออกโจมตีกองกำลังรัฐบาลไทยตามชนบท ผสานกับ “ชาว พคท.” ในเมือง ที่เคลื่อนไหวทั้งลับและเปิดเผย ซึ่งล้วนมีเป้าหมายเพื่อยึดอำนาจรัฐไทย

หลังเหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” ขบวนการนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชน ยังมีการเคลื่อนไหวด้วยความบริสุทธิ์ใจ หวังให้ประชาธิปไตยมีคุณภาพมากขึ้น แต่ก็มีชาว พคท.จำนวนหนึ่ง สร้างเครือข่าย และเคลื่อนไหวในคราบนักกิจกรรมสาขาอาชีพต่างๆ จนเกิดกระแสสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในชาติไทย

สังคมไทยยุคนั้น จึงเต็มไปด้วยหนังสือ “คอมมิวนิสต์” วางขายมากมาย เกิดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ราวดอกเห็ด

ถึงขนาดการเมืองเกิดพรรคสังคมนิยม ทั้งแบบปลอมๆ แบบอ่อนๆ แบบเข้มข้น นักการเมืองที่ชูป้ายสังคมนิยมจำนวนหนึ่ง ได้รับเลือกตั้งเข้านั่งในสภาอีกด้วย

เท่านั้นไม่พอ..ยังเกิดเหตุการณ์ “พญาอินทรี” พ่ายศึกกราวรูดในอินโดจีน ทำให้เวียดนาม-ลาว-กัมพูชา เปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ จนผู้มีอำนาจในชาติไทยและชาติตะวันตก กลัวจะเกิด “โดมิโน” ในชาติไทย

แถมก่อนเกิดเหตุการณ์ “6 ตุลาคม 2519” ยังมี “ชาว พคท.” ในเมืองจำนวนหนึ่ง เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ทั้งอยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังอย่างคึกคัก จนทำให้เหตุการณ์ก่อน “6 ตุลาคม 2519” ทวีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งขึ้น

ที่สำคัญ..การเคลื่อนไหวในช่วงนั้น ไม่ชัดเจนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่กลับโดดเด่นไปในทางต่อสู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองชาติไทย จากประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้กลายเป็นการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ไปเลย

เป็นเหตุให้รัฐบาลและกลไกรัฐยุคนั้น ปราบปรามนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ในห้วง “6 ตุลาคม 2519” รุนแรงกว่า “14 ตุลาคม 2516” ด้วยข้อหาปราบปราบคอมมิวนิสต์ จนมีคนตายหลายสิบคนและบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

หลัง “6 ตุลาคม 2519” จึงมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนเป็นจำนวนมาก ตัดสินใจเดินทางเข้าป่าร่วมกับ พคท. จับปืนต่อสู้กับรัฐบาลไทย ทำให้ พคท.ขยายตัวแบบก้าวกระโดด ทั้งในเมืองและชนบท

ในฐานที่มั่นแห่งหนึ่งกลางป่าจังหวัดน่าน-ภายใต้การนำของ พคท. ได้มีการจัดสัมมนาถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง เหตุการณ์ “เดือนตุลาฯ” ทั้งสองครั้ง

โดยแกนนำระดับสูงของ พคท. ได้ยอมรับว่า..เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น พคท.ยังมีกำลังคนในเมือง-น้อยมาก! หากรัฐบาลเผด็จการ “ถนอม-ประภาส” ล้อมปราบนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชน ชาว พคท.อาจเสียหายได้ ดังนั้น แกนนำ พคท.จึงสั่งให้พลพรรคในเมือง ถอนตัวจากการเกี่ยวข้องทันที

ส่วนเหตุการณ์ “6 ตุลาคม 2519” นั้น แกนนำ พคท.ได้ส่งคนของตนทุกระดับ เข้าไปเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเต็มที่ กับนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชน จนคนของ พคท.บางคนได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย

สรุปว่า..เหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” จึงเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยมีคนของ พคท.มาเกี่ยวข้องด้วยน้อยมาก และบางช่วงไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย

ต่างจากเหตุการณ์ “6 ตุลาคม 2519” ที่แม้จะมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชน ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยใจอันบริสุทธิ์ แต่ด้วยมีชาว พคท. มากมายเคลื่อนไหวหลากรูปแบบ ให้ชาติไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เป็นการปกครองแบบคอมมิวนิสต์

สถานการณ์การเมืองไทยห้วงนั้น จึงเป็นการต่อสู้ที่ “มุ่งล้มและยึดอำนาจรัฐ”! ถ้า “พคท.ชนะ” ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข-จะถูกโค่นลงทันที! แต่เพราะ “กลไกรัฐ” ประชาธิปไตยฯขณะนั้นได้เปรียบ-พคท.จึงแพ้! ฝ่าย “พคท.” และ “แนวร่วม” ในเมืองจึงถูกปราบปรามลง!

การเมือง-เรื่องโค่นล้มและยึดอำนาจรัฐนั้น ไม่ช้าก็เร็วต้องมี “คนชนะ” และ “คนแพ้” แน่นอน! ด้วยอำนาจนั้นเป็นอนิจจัง.. เฉกเช่นทุกสรรพสิ่งที่ล้วนเป็นอนิจจัง!

และ..เฉกเช่น..มนุษย์ทุกคนล้วนหนีไม่พ้น..ต้องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย

พคท. “เกิด” ได้ด้วย “คน” แล้วพคท.ก็ “ตาย” เพราะ “คน” เช่นกัน! ด้วยสถานการณ์ในชาติไทยและโลกห้วงนั้นแปรเปลี่ยน แต่ “คน” ของ “พคท.” คิดและทำ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แถมสถานการณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทำให้ “พคท.” ถูกรุกและต้องตั้งรับ..จน “รับไม่ไหว”

ในขณะที่ “คน” ของระบอบประชาธิปไตยฯ ได้แปรจาก “รับ” เปลี่ยนเป็น “รุก” ด้วยการหันไปคบกับ “อภิคอมมิวนิสต์-เหมาเจ๋อตุง” ทำให้ พคจ.ตัดความช่วยเหลือ พคท. แต่ พคท.ก็รัก พคจ.แบบ “ฉันรักเธอคนเดียวนิรันดร์” จนคอมมิวนิสต์เขมรและลาว ที่เป็นหลังพิงตัดความช่วยเหลือตามมา

งานนี้..ทางการไทยต้องขอบใจ บรรดาแกนนำระดับสูงของ พคท. เพราะแกนนำคอมมิวนิสต์อินโดจีนบางคน ได้เสนอให้พลพรรค พคท.นำทาง โดยกองทัพคอมมิวนิสต์อินโดจีน จะยกกำลังบุกเข้ามาช่วยปลดปล่อยชาติไทย

ถ้าสำเร็จตามนี้..ผลประโยชน์จะได้วินวิน ในหมู่คอมมิวนิสต์แถบนี้ โดย พคท.จะได้ปกครองชาติไทยสบายบรื๋อ ส่วนคอมมิวนิสต์ลาวและเขมร ที่ชายแดนติดกับชาติไทย จะปลอดภัยจากรัฐบาลทุนนิยมไทย-มะกัน-ชาติตะวันตกไปโดยปริยาย

ทว่า..พคท.ไม่ยอมเล่นเกมยึดอำนาจรัฐแบบนี้ โดย “นายผี-อัศนีย์ พลจันทร์” กับแกนนำบางคนของ พคท. ได้อธิบายกับผมและบรรดาสหาย ที่ทำงานอยู่ใน “หน่วย 20” หรือ “หน่วยทฤษฏี” ของ พคท.ว่า

การเปลี่ยนการปกครองของชาติไทยนั้น ต้องให้ประชาชนยอมรับและเห็นด้วย มิใช่บังคับด้วยการใช้กำลังทหารต่างชาติ บุกเข้ามายึดหรือช่วยปลดปล่อยชาติไทย..!

งานนี้แหละ..ที่ทำให้ “พคท.” กับคอมมิวนิสต์อินโดจีน แตกคอจนเลิกคบหาสมาคมกันไปเลย

รัฐบาล-ประชาธิปไตย-เปลี่ยน! แต่ “คน” ในกลไกรัฐเดิม-ไม่เปลี่ยน ยังเดินหน้ารุก“คน”ของ พคท. อย่างต่อเนื่อง จนถึงขนาดกล้าใช้ความรุนแรง ปิดฉากกระแส “นิยมคอมมิวนิสต์” โดยใช้ “ชีวิตคน” สังเวยในเหตุการณ์เลือด “6 ตุลาคม 2519”

เท่านั้นไม่พอ..รัฐบาล “ป๋าเปรม” ยังเดินหมาก “รุกฆาต” ด้วย “นโยบาย 66/2523” จนเกิดเหตุการณ์ “ป่าแตก” ครั้งใหญ่ โดยคอมมิวนิสต์ทั้งเก่าและใหม่ เดินออกจากป่ากลับบ้านเป็นทิวแถว

และแล้ว “ขบวนการ พคท.” ที่ก่อเกิด-เติบโตได้ด้วย “คน” ก็ปิดฉากสุดท้ายของตัวเองลง เพราะ “คน-พคท.” ไม่รู้ไม่เท่าทันการเมือง “คน-ปชต.” นั่นเอง

แต่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะดี-จะมั่นคง-จะยั่งยืน-จะเจริญรุ่งเรืองได้ “คน-มีอำนาจ” ในระบอบประชาธิปไตยฯ ที่รักชาติด้วยใจจริง จะทำตามพระบรมราโชวาท ของ “ในหลวงรัชกาลที่เก้า” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2512 ได้หรือไม่..นั่นคือ..

“..ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..”

ถ้า..ทำดังกล่าวข้างต้นไม่ได้! ในอนาคต ชาติไทย-คงหนีการ “ตายเป็นเบือ” ไม่ได้เป็นแน่แท้!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น