“หนึ่งความคิด”
โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปราศรัยเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องใน “วันสหประชาชาติ” ภูมิใจทั่วโลกนำ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
คำถามว่า นอกจากหลายประเทศทั่วโลกได้นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ไปใช้แล้ว ประเทศไทยได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างไรบ้าง
มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าในหลวงทรงพูดเรื่องนี้ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2517 ในงานพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2517 ไว้ความตอนหนึ่งว่า
“…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนเป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับ ต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นได้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และของประชาชน โดยสอดคล้องด้วย จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆได้ ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวในที่สุด…”
ต่อมาทรงมีพระราชดำรัสแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้า เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันที่ 4 ธันวาคม 2541 ความตอนหนึ่งว่า…
“…เมื่อ ปี 2517 วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย…
…พอเพียงมีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น…”
“...ก็ชัดแล้วว่าควรจะปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงไม่ต้องทั้งหมด เพียงครึ่งหนึ่งก็ใช้ได้ แม้จะเป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอ หมายความว่าวิธีปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ไม่ต้องทำทั้งหมด และขอเติมว่าจะทำทั้งหมดก็จะทำไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่ง หรือแม้หมู่บ้านหนึ่งทำเศรษฐกิจพอเพียงร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จะเป็นการถอยหลังถึงสมัยหินสมัยคนอยู่ในอุโมงค์หรือในถ้ำ ซึ่งไม่ต้องอาศัยหมู่อื่น เพราะว่าหมู่อื่นก็เป็นศัตรูทั้งนั้น ตีกัน ไม่ใช่ร่วมมือกันจึงต้องทำเศรษฐกิจพอเพียง แต่ละคนต้องหาที่อยู่ ก็หาอุโมงค์ หาถ้ำ ต้องหาอาหาร คือไปเด็ดผลไม้หรือใบไม้ตามที่มี หรือไปใช้อาวุธที่ได้สร้างได้ประดิษฐ์เอง ไปล่าสัตว์ กลุ่มที่อยู่ในอุโมงค์ในถ้ำนั้น ก็มีเศรษฐกิจพอเพียงร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ปฏิบัติได้...”
พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าหลักการเรื่องการพัฒนาของในหลวง ได้รับการยอมรับและนำไปปรับใช้ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยมีประเทศต่างๆ นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ได้แสดงความขอบคุณไทย เช่น ติมอร์-เลสเต อินโดนีเซีย ลาว อัฟกานิสถาน เลโซโท ซิมบับเว และนิการากัว ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจของไทยในการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีไปสู่ระดับสากล
กว่าทั่วโลกจะยอมรับในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เพราะไม่เคยมีในตำรามาก่อน
ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา: 23 ธันวาคม 2542ตอนหนึ่งว่า
“มีคนหนึ่งพูด เป็นดอกเตอร์ เขาพูดว่า เศรษฐกิจพอเพียง นี่ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร แหมคันปากอยากจะพูดที่จริงที่คันปากที่จะพูดเพราะว่าตอบแล้ว อย่างที่เห็นในทีวีรายการใหญ่ เขาพูดถามโน่นถามนี่ เราดูแล้วรำคาญเพราะว่าตอบแล้ว ตอบเสร็จแล้วก็ถามใหม่เมื่อ ตอบอีกก็บอกว่าทำไมพูด คราวนี้เราฟังเขา แล้วเขาถามว่าภาษาอังกฤษจะแปลเศรษฐกิจพอเพียงว่าอย่างไร ก็อยากจะตอบว่า มีแล้วใน หนังสือ ในหนังสือไม่ใช่หนังสือตำราเศรษฐกิจในหนังสือพระราชดำรัส ที่อุตส่าห์พิมพ์ และนำมาปรับปรุงดูให้ฟังได้ และแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าคนที่ฟังภาษาไทย บางทีไม่เข้าใจภาษาไทย ก็ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ และเน้นว่า เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy โดยเขียนเป็นตัวหนาในหนังสือ เสร็จแล้ว เขาก็มาบอกว่า คำว่า Sufficiency Economy ไม่มีในตำรา เศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ เป็นตำราใหม่ ถ้ามีอยู่ในตำราก็หมายความว่าเราก๊อปปี้มา เราลอกเขามา เราไม่ได้ลอก ไม่อยู่ในตำราเศรษฐกิจ เป็นเกียรติที่เขาพูดอย่างที่เขาพูดอย่างนี้ว่า Sufficiency Economy นั้นไม่มีในตำรา การที่พูดว่าไม่มีในตำรานี่ ที่ว่าเป็นเกียรตินั้นก็หมายความว่า เรามีความคิดใหม่ โดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่า เราก็สามารถที่จะคิดอะไรได้ จะถูก จะผิดก็ช่างแต่ว่าเขาสนใจ แล้วก็ถ้าเขาสนใจ เขาก็สามารถที่จะไปปรับปรุงหรือไปใช้หลักการ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศ และของโลกพัฒนาดีขึ้น”
กระทั่งถึงตอนนี้เชื่อว่าไม่มีใครมีคำถามหรือไม่เข้าใจเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” แล้ว
สำหรับประเทศไทยตลอดหลายปีมานี้ เราได้ยินแน่ๆ ว่าทุกรัฐบาลเมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้วจะพูดเหมือนกันว่าจะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่เวลาพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงเรามักนึกถึงการแบ่งที่ดินปลูกพืช ขุดบ่อเลี้ยงปลา และเลี้ยงสัตว์เท่านั้นเองทั้งๆที่ความหมายของในหลวงนั้นกว้างกว่านั้น
แต่เอาล่ะเราจะไม่ย้อนกลับไปในอดีตแล้วว่ารัฐบาลไหนได้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาใช้เป็นรูปธรรมจริงหรือไม่ แต่จะตั้งคำถามกับรัฐบาลปัจจุบันนี่แหละ
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์นอกจากเข้ามาบริหารบ้านเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้แล้ว การออกแบบการเมืองใหม่ตามรัฐธรรมนูญที่กำลังเตรียมการเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น มีความเป็นได้สูงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะอีก 4 ปีหรือ 8 ปีก็ตาม
หลักเศรษฐกิจพอเพียงจะถูกนำมาใช้อย่างไรกับประเทศไทย 4.0 ของพล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ “Value-Based Economy” การนำประเทศไปสู่การเกษตรสมัยใหม่คือ การแปลงพื้นที่ปลูกข้าวไปปลูกข้าวโพดใช่หรือไม่
รัฐบาลอธิบายว่า ไทยแลนด์ 4.0 คือ “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth)โดยเป็นการเปลี่ยนผ่านทั้งระบบใน 4 องค์ประกอบสำคัญ คือ 1.เปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม (Traditional Farming) ในปัจจุบัน ไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) โดยเกษตรกรต้องร่ำรวยขึ้น และเป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) 2.เปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่มีอยู่ที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Startups ที่มีศักยภาพสูง 3.เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่ High Value Services 4.เปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำไปสู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง
แน่นอน การเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นและไม่อาจหยุดนิ่ง
แต่ช่วยตอบคำถามหน่อยว่า เศรษฐกิจพอเพียงจะอยู่ตรงไหนในประเทศไทย 4.0
โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปราศรัยเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องใน “วันสหประชาชาติ” ภูมิใจทั่วโลกนำ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
คำถามว่า นอกจากหลายประเทศทั่วโลกได้นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ไปใช้แล้ว ประเทศไทยได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างไรบ้าง
มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าในหลวงทรงพูดเรื่องนี้ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2517 ในงานพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2517 ไว้ความตอนหนึ่งว่า
“…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนเป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับ ต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นได้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และของประชาชน โดยสอดคล้องด้วย จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆได้ ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวในที่สุด…”
ต่อมาทรงมีพระราชดำรัสแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้า เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันที่ 4 ธันวาคม 2541 ความตอนหนึ่งว่า…
“…เมื่อ ปี 2517 วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย…
…พอเพียงมีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น…”
“...ก็ชัดแล้วว่าควรจะปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงไม่ต้องทั้งหมด เพียงครึ่งหนึ่งก็ใช้ได้ แม้จะเป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอ หมายความว่าวิธีปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ไม่ต้องทำทั้งหมด และขอเติมว่าจะทำทั้งหมดก็จะทำไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่ง หรือแม้หมู่บ้านหนึ่งทำเศรษฐกิจพอเพียงร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จะเป็นการถอยหลังถึงสมัยหินสมัยคนอยู่ในอุโมงค์หรือในถ้ำ ซึ่งไม่ต้องอาศัยหมู่อื่น เพราะว่าหมู่อื่นก็เป็นศัตรูทั้งนั้น ตีกัน ไม่ใช่ร่วมมือกันจึงต้องทำเศรษฐกิจพอเพียง แต่ละคนต้องหาที่อยู่ ก็หาอุโมงค์ หาถ้ำ ต้องหาอาหาร คือไปเด็ดผลไม้หรือใบไม้ตามที่มี หรือไปใช้อาวุธที่ได้สร้างได้ประดิษฐ์เอง ไปล่าสัตว์ กลุ่มที่อยู่ในอุโมงค์ในถ้ำนั้น ก็มีเศรษฐกิจพอเพียงร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ปฏิบัติได้...”
พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าหลักการเรื่องการพัฒนาของในหลวง ได้รับการยอมรับและนำไปปรับใช้ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยมีประเทศต่างๆ นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ได้แสดงความขอบคุณไทย เช่น ติมอร์-เลสเต อินโดนีเซีย ลาว อัฟกานิสถาน เลโซโท ซิมบับเว และนิการากัว ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจของไทยในการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีไปสู่ระดับสากล
กว่าทั่วโลกจะยอมรับในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เพราะไม่เคยมีในตำรามาก่อน
ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา: 23 ธันวาคม 2542ตอนหนึ่งว่า
“มีคนหนึ่งพูด เป็นดอกเตอร์ เขาพูดว่า เศรษฐกิจพอเพียง นี่ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร แหมคันปากอยากจะพูดที่จริงที่คันปากที่จะพูดเพราะว่าตอบแล้ว อย่างที่เห็นในทีวีรายการใหญ่ เขาพูดถามโน่นถามนี่ เราดูแล้วรำคาญเพราะว่าตอบแล้ว ตอบเสร็จแล้วก็ถามใหม่เมื่อ ตอบอีกก็บอกว่าทำไมพูด คราวนี้เราฟังเขา แล้วเขาถามว่าภาษาอังกฤษจะแปลเศรษฐกิจพอเพียงว่าอย่างไร ก็อยากจะตอบว่า มีแล้วใน หนังสือ ในหนังสือไม่ใช่หนังสือตำราเศรษฐกิจในหนังสือพระราชดำรัส ที่อุตส่าห์พิมพ์ และนำมาปรับปรุงดูให้ฟังได้ และแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าคนที่ฟังภาษาไทย บางทีไม่เข้าใจภาษาไทย ก็ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ และเน้นว่า เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy โดยเขียนเป็นตัวหนาในหนังสือ เสร็จแล้ว เขาก็มาบอกว่า คำว่า Sufficiency Economy ไม่มีในตำรา เศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ เป็นตำราใหม่ ถ้ามีอยู่ในตำราก็หมายความว่าเราก๊อปปี้มา เราลอกเขามา เราไม่ได้ลอก ไม่อยู่ในตำราเศรษฐกิจ เป็นเกียรติที่เขาพูดอย่างที่เขาพูดอย่างนี้ว่า Sufficiency Economy นั้นไม่มีในตำรา การที่พูดว่าไม่มีในตำรานี่ ที่ว่าเป็นเกียรตินั้นก็หมายความว่า เรามีความคิดใหม่ โดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่า เราก็สามารถที่จะคิดอะไรได้ จะถูก จะผิดก็ช่างแต่ว่าเขาสนใจ แล้วก็ถ้าเขาสนใจ เขาก็สามารถที่จะไปปรับปรุงหรือไปใช้หลักการ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศ และของโลกพัฒนาดีขึ้น”
กระทั่งถึงตอนนี้เชื่อว่าไม่มีใครมีคำถามหรือไม่เข้าใจเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” แล้ว
สำหรับประเทศไทยตลอดหลายปีมานี้ เราได้ยินแน่ๆ ว่าทุกรัฐบาลเมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้วจะพูดเหมือนกันว่าจะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่เวลาพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงเรามักนึกถึงการแบ่งที่ดินปลูกพืช ขุดบ่อเลี้ยงปลา และเลี้ยงสัตว์เท่านั้นเองทั้งๆที่ความหมายของในหลวงนั้นกว้างกว่านั้น
แต่เอาล่ะเราจะไม่ย้อนกลับไปในอดีตแล้วว่ารัฐบาลไหนได้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาใช้เป็นรูปธรรมจริงหรือไม่ แต่จะตั้งคำถามกับรัฐบาลปัจจุบันนี่แหละ
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์นอกจากเข้ามาบริหารบ้านเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้แล้ว การออกแบบการเมืองใหม่ตามรัฐธรรมนูญที่กำลังเตรียมการเพื่อเลือกตั้งใหม่นั้น มีความเป็นได้สูงว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะอีก 4 ปีหรือ 8 ปีก็ตาม
หลักเศรษฐกิจพอเพียงจะถูกนำมาใช้อย่างไรกับประเทศไทย 4.0 ของพล.อ.ประยุทธ์ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ “Value-Based Economy” การนำประเทศไปสู่การเกษตรสมัยใหม่คือ การแปลงพื้นที่ปลูกข้าวไปปลูกข้าวโพดใช่หรือไม่
รัฐบาลอธิบายว่า ไทยแลนด์ 4.0 คือ “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth)โดยเป็นการเปลี่ยนผ่านทั้งระบบใน 4 องค์ประกอบสำคัญ คือ 1.เปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม (Traditional Farming) ในปัจจุบัน ไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) โดยเกษตรกรต้องร่ำรวยขึ้น และเป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) 2.เปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่มีอยู่ที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Startups ที่มีศักยภาพสูง 3.เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่ High Value Services 4.เปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำไปสู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง
แน่นอน การเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นและไม่อาจหยุดนิ่ง
แต่ช่วยตอบคำถามหน่อยว่า เศรษฐกิจพอเพียงจะอยู่ตรงไหนในประเทศไทย 4.0