“…อันการทำนุบ้านเมืองนั้น เมื่อเป็นการกระทำของคนทั้งชาติ ก็ย่อมจะมีความขัดแย้งอันเกิดจากความคิดความเห็นที่ไม่ตรงกันเกิดขึ้นได้ จะให้สอดคล้องต้องกันตลอดทุกเรื่อง ย่อมเป็นการผิดวิสัย เพราะฉะนั้นแต่ละฝ่ายแต่ละคน จึงควรจะคำนึงถึงจุดประสงค์สำคัญ คือความเจริญไพบูลย์ของชาติเป็นใหญ่ ส่วนความคิดเห็นในวิธีการและข้อปฏิบัติ ซึ่งอาจมีแตกต่างกันได้นั้น ควรจะต้องถือเป็นเรื่องปลีกย่อย ที่มีความสำคัญรองลงมา ทุกฝ่ายควรจะทำให้ยุติธรรมเที่ยงตรง นำความคิดของตนมาเทียบเคียงกับของผู้อื่นโดยปราศจากอคติต่างๆ ได้นำความคิดความเห็นมาเทียบเคียงกันโดยไม่มีอคติ ตามหลักของเหตุผลแล้วก็เชื่อแน่ว่าจะปรับปรุงให้เข้ากันได้…”
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2522 วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม 2521
ผมเชื่อว่าการเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นำความเศร้าเสียใจมาสู่ประชาชนทั้งประเทศ พูดแบบนี้อาจมีคนบางพวกแอบโต้แย้ง ผมก็คิดว่าคงจะมีบ้างแหละที่ไม่เศร้าเสียใจ แต่นั่นก็ช่างเถอะเพราะเป็นสิทธิของเขา ผมเชื่อเสมอมาว่าความรัก การยกย่อง เทิดทูนนั้นต้องเกิดจากความรัก ไปบังคับเข็ญใจใครไม่ได้
แต่สำหรับพระมหากษัตริย์ผู้เป็น “พ่อของแผ่นดิน” ที่เพิ่งจากเราไปนั้น พระองค์ไม่ได้เรียกร้องความรักจากเราเพียงเพื่อต้องการให้เรารักและภักดี แต่ทำให้เราเห็นถึงความพยายามที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความวิวัฒนาถาวร และนำความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่พสกนิกร เราจึงรักและเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวจากความรักที่พระองค์มีต่อประเทศชาติและพสกนิกรแล้วแสดงออกมาเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนสอดคล้องกันทั้งพระราชดำรัสและวิถีปฏิบัติที่งดงาม
สิ่งที่พระองค์ได้ปฏิบัติตลอดพระชนมชีพนั้น ผมมองไม่เห็นเลยว่า คนที่ไม่รักพระองค์นั้นจะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายหักร้างได้
แต่หากใครไม่รักก็ช่างเถอะเพราะนั่นเป็นเสรีภาพ ตราบที่เสรีภาพนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แถลงการณ์ สภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) เรื่อง “การใช้เสรีภาพเพื่อความปรองดองสมานฉันท์” เนื่องในวันนักข่าว 5 มีนาคม 2520
“การมีเสรีภาพนั้นเป็นของดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและความรับผิดชอบมิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น ที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพและความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย มิฉะนั้น จะทำให้มีความยุ่งยาก จะทำสังคมและชาติประเทศต้องแตกสลายจนสิ้นเชิง”
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นความสวยงามเกิดขึ้นในวันที่ “พ่อ” ได้จากเราไป แม้ว่าเราจะมีความขัดแย้งกันมาก่อนตลอดระยะ 10 ปีมานี้ มีความแตกแยกเกิดขึ้นในชาติ แต่ผมเห็นคนที่เคยแตกกันเป็นฝักฝ่ายหันหน้ามาในทางเดียวกันในวันที่พ่อจากไป เก็บอุดมการณ์และความขัดแย้งไว้ในใจ
ในความวิปโยคโศกเศร้าครั้งนี้ จึงมองเห็นว่าจริงแท้แล้วคนไทยส่วนใหญ่ยังเป็นหนึ่งเดียวกัน มันทำให้มีความหวังว่าเราจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
แม้จะมีอยู่บ้างที่มีบางคนแสดงออกไปในทางที่ตรงข้ามความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยเหลือเกิน ผมคิดว่าเราก็ต้องใช้สติยับยั้งชั่งใจ และนึกถึงคำ “พ่อ” สอนที่ไม่อยากให้ลูกขัดแย้งแตกแยกกัน
คนบางคนอาจจะอ้างว่า พวกเขามีเสรีภาพ หรือเรียกเป็นภาษาฝรั่งว่าพวกลิเบอรัลก็ไม่มีใครห้ามในสิ่งที่พวกเขาอยากจะเป็น แต่สิ่งที่พวกเขาควรรู้ก็คือกาลเทศะนั่นเอง
จริงอยู่เราต้องเคารพความคิดของกันและกัน คนเรามีความรักไม่เหมือนกัน เราไม่ควรบังคับให้คนอื่นมารักสิ่งที่เรารัก แต่ถ้าคุณไปหมิ่นหยามสิ่งที่คนอื่นเขารัก คุณก็ต้องเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้กลับ ลองนึกว่าถ้าคนมาหมิ่นหยามสิ่งที่คุณรักแล้วจะเป็นอย่างไร คุณจะอดทนได้แค่ไหน แน่นอนดีที่สุดคือต้องอดทนอดกลั้นให้ได้ แต่ความอดทนของคนย่อมมีขีดจำกัด ลองนึกถึงว่าบ้านคุณกำลังโศกเศร้าแล้วมีคนมาแสดงความดีใจสมน้ำหน้าอยู่หน้าบ้านแล้วจะเป็นอย่างไร
การบอกว่ารักอยู่ส่วนรัก ส่วนใครไม่รักก็ปล่อยให้เขาแสดงออกไปจึงไม่พอ แต่การแสดงออกของเราต้องเคารพความรู้สึกของคนอื่นด้วย เมื่อคนอื่นเขาสูญเสียสิ่งที่รัก ถ้าเราเคารพความเป็นมนุษย์จริง เราต้องไม่ทำอะไรที่เป็นการเย้ยหยันความสูญเสียของเขาเพียงเพราะสิ่งที่สูญเสียไปไม่ใช่สิ่งที่เรารัก แล้วอ้างเสรีภาพของเราว่าจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เสรีภาพแน่เพราะเสรีภาพไม่ควรซ้ำเติมความทุกข์ของผู้อื่น
ผมเห็นคนออกมาเรียกร้องให้เคารพสิทธิของกัน ระหว่างคนรักกับไม่รัก แต่ถามว่าขณะที่คนฝ่ายหนึ่งกำลังประสบกับความโศกเศร้าเสียใจเพราะสูญเสียคนที่ตัวเองรัก ใครควรเคารพสิทธิของใคร ถ้าคนที่ไม่รักไม่ไปซ้ำเติมความเสียใจของเขาจะมีปัญหาความไม่พอใจระหว่างกันไหม ผมว่าไม่มีหรอก ดังนั้น แค่เคารพสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ของแต่ละฝ่ายจึงไม่พอ แต่ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราและรู้กาลเทศะที่เหมาะควรด้วย
เราแค่แตกต่างทางความคิด แต่เราเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจรู้สึกเศร้าเสียใจต่อการสูญเสียคนที่เรารักเหมือนกันไม่ใช่หรือ
ส่วนประเด็นที่เราขัดแย้งกันเรื่อง “สีเสื้อ” หรือพูดตรงๆ ก็คือว่า คนที่รักในหลวงบางคนรู้สึกขัดใจที่เห็นคนใส่เสื้อสีสดใสช่วงเวลานี้ ผมว่าเราต้องพยายามทำใจและปล่อยวางไป ไม่ใช่ธุระอะไรที่เราจะต้องไปบังคับเขาหรือเที่ยวถ่ายรูปมาประจาน แต่ละคนอาจมีเหตุผลต่างๆ กันไป ผมเชื่อได้ว่า ถ้าในหลวงรับรู้ได้พระองค์ท่านก็คงไม่อยากให้พสกนิกรของพระองค์ขัดแย้งด้วยเรื่องนี้
เพราะเรื่องไว้ทุกข์นั้น รัฐบาลเขาไม่ได้มีกฎเกณฑ์บังคับสำหรับคนธรรมดา ส่วนคนที่ต้องการไว้อาลัยนั้น รัฐบาลเขาก็บอกว่าจะใส่สีดำ ขาว หรือเทาก็ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าไม่มีเสื้อ 3 สีนี้หรือกรณีที่ต้องการใส่เป็นเวลานานสีทึมๆ เช่น น้ำเงิน คราม หรือน้ำตาลก็น่าจะได้ ส่วนคนที่ขัดสนจริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เอากันตามกำลังความสามารถ เรื่องนี้ไม่ควรทำให้ขุ่นเคืองพระทัย “พ่อ” ที่เฝ้ามองเราอยู่บนเบื้องบนเลย
วันนี้ไม่มี “พ่อ” แล้ว แต่เรายังอยู่ ประเทศชาติของเรายังอยู่ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องตั้งสติและอยู่ให้ได้ในวันไม่มี “พ่อ” นำแนวทางคำสอนของ “พ่อ” มาเป็นบทเรียนสอนชีวิต นั่นต่างหากที่น่าจะเป็นความมุ่งหวังของ “พ่อ” ที่ปฏิบัติให้เราดูเป็นแนวทางมาตลอดชีวิต
แนวทางของ “พ่อ” นี่แหละจะเป็นเกราะกำบังของเรา และถ้าทุกคนปฏิบัติพร้อมกันจะกลายเป็นเกราะกำบังของชาติ ที่จะป้องกันคนคิดร้ายต่อชาติบ้านเมือง
ฝากบทกวีข้างล่างนี้ไว้ในวันที่ไม่มี “พ่อ” อยู่เพื่อให้พวกเรามีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
ตื่นขึ้นมา วันที่ ไม่มีพ่อ
เหลือเพียงม-รดก ตกทอดให้
ตั้งสติ หยัดอยู่ สู้ต่อไป
แม้โลกไม่ ง่ายดาย ให้ทายท้า...
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2522 วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม 2521
ผมเชื่อว่าการเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นำความเศร้าเสียใจมาสู่ประชาชนทั้งประเทศ พูดแบบนี้อาจมีคนบางพวกแอบโต้แย้ง ผมก็คิดว่าคงจะมีบ้างแหละที่ไม่เศร้าเสียใจ แต่นั่นก็ช่างเถอะเพราะเป็นสิทธิของเขา ผมเชื่อเสมอมาว่าความรัก การยกย่อง เทิดทูนนั้นต้องเกิดจากความรัก ไปบังคับเข็ญใจใครไม่ได้
แต่สำหรับพระมหากษัตริย์ผู้เป็น “พ่อของแผ่นดิน” ที่เพิ่งจากเราไปนั้น พระองค์ไม่ได้เรียกร้องความรักจากเราเพียงเพื่อต้องการให้เรารักและภักดี แต่ทำให้เราเห็นถึงความพยายามที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความวิวัฒนาถาวร และนำความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่พสกนิกร เราจึงรักและเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวจากความรักที่พระองค์มีต่อประเทศชาติและพสกนิกรแล้วแสดงออกมาเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนสอดคล้องกันทั้งพระราชดำรัสและวิถีปฏิบัติที่งดงาม
สิ่งที่พระองค์ได้ปฏิบัติตลอดพระชนมชีพนั้น ผมมองไม่เห็นเลยว่า คนที่ไม่รักพระองค์นั้นจะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายหักร้างได้
แต่หากใครไม่รักก็ช่างเถอะเพราะนั่นเป็นเสรีภาพ ตราบที่เสรีภาพนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แถลงการณ์ สภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) เรื่อง “การใช้เสรีภาพเพื่อความปรองดองสมานฉันท์” เนื่องในวันนักข่าว 5 มีนาคม 2520
“การมีเสรีภาพนั้นเป็นของดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและความรับผิดชอบมิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น ที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพและความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย มิฉะนั้น จะทำให้มีความยุ่งยาก จะทำสังคมและชาติประเทศต้องแตกสลายจนสิ้นเชิง”
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นความสวยงามเกิดขึ้นในวันที่ “พ่อ” ได้จากเราไป แม้ว่าเราจะมีความขัดแย้งกันมาก่อนตลอดระยะ 10 ปีมานี้ มีความแตกแยกเกิดขึ้นในชาติ แต่ผมเห็นคนที่เคยแตกกันเป็นฝักฝ่ายหันหน้ามาในทางเดียวกันในวันที่พ่อจากไป เก็บอุดมการณ์และความขัดแย้งไว้ในใจ
ในความวิปโยคโศกเศร้าครั้งนี้ จึงมองเห็นว่าจริงแท้แล้วคนไทยส่วนใหญ่ยังเป็นหนึ่งเดียวกัน มันทำให้มีความหวังว่าเราจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
แม้จะมีอยู่บ้างที่มีบางคนแสดงออกไปในทางที่ตรงข้ามความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยเหลือเกิน ผมคิดว่าเราก็ต้องใช้สติยับยั้งชั่งใจ และนึกถึงคำ “พ่อ” สอนที่ไม่อยากให้ลูกขัดแย้งแตกแยกกัน
คนบางคนอาจจะอ้างว่า พวกเขามีเสรีภาพ หรือเรียกเป็นภาษาฝรั่งว่าพวกลิเบอรัลก็ไม่มีใครห้ามในสิ่งที่พวกเขาอยากจะเป็น แต่สิ่งที่พวกเขาควรรู้ก็คือกาลเทศะนั่นเอง
จริงอยู่เราต้องเคารพความคิดของกันและกัน คนเรามีความรักไม่เหมือนกัน เราไม่ควรบังคับให้คนอื่นมารักสิ่งที่เรารัก แต่ถ้าคุณไปหมิ่นหยามสิ่งที่คนอื่นเขารัก คุณก็ต้องเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้กลับ ลองนึกว่าถ้าคนมาหมิ่นหยามสิ่งที่คุณรักแล้วจะเป็นอย่างไร คุณจะอดทนได้แค่ไหน แน่นอนดีที่สุดคือต้องอดทนอดกลั้นให้ได้ แต่ความอดทนของคนย่อมมีขีดจำกัด ลองนึกถึงว่าบ้านคุณกำลังโศกเศร้าแล้วมีคนมาแสดงความดีใจสมน้ำหน้าอยู่หน้าบ้านแล้วจะเป็นอย่างไร
การบอกว่ารักอยู่ส่วนรัก ส่วนใครไม่รักก็ปล่อยให้เขาแสดงออกไปจึงไม่พอ แต่การแสดงออกของเราต้องเคารพความรู้สึกของคนอื่นด้วย เมื่อคนอื่นเขาสูญเสียสิ่งที่รัก ถ้าเราเคารพความเป็นมนุษย์จริง เราต้องไม่ทำอะไรที่เป็นการเย้ยหยันความสูญเสียของเขาเพียงเพราะสิ่งที่สูญเสียไปไม่ใช่สิ่งที่เรารัก แล้วอ้างเสรีภาพของเราว่าจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เสรีภาพแน่เพราะเสรีภาพไม่ควรซ้ำเติมความทุกข์ของผู้อื่น
ผมเห็นคนออกมาเรียกร้องให้เคารพสิทธิของกัน ระหว่างคนรักกับไม่รัก แต่ถามว่าขณะที่คนฝ่ายหนึ่งกำลังประสบกับความโศกเศร้าเสียใจเพราะสูญเสียคนที่ตัวเองรัก ใครควรเคารพสิทธิของใคร ถ้าคนที่ไม่รักไม่ไปซ้ำเติมความเสียใจของเขาจะมีปัญหาความไม่พอใจระหว่างกันไหม ผมว่าไม่มีหรอก ดังนั้น แค่เคารพสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ของแต่ละฝ่ายจึงไม่พอ แต่ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราและรู้กาลเทศะที่เหมาะควรด้วย
เราแค่แตกต่างทางความคิด แต่เราเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจรู้สึกเศร้าเสียใจต่อการสูญเสียคนที่เรารักเหมือนกันไม่ใช่หรือ
ส่วนประเด็นที่เราขัดแย้งกันเรื่อง “สีเสื้อ” หรือพูดตรงๆ ก็คือว่า คนที่รักในหลวงบางคนรู้สึกขัดใจที่เห็นคนใส่เสื้อสีสดใสช่วงเวลานี้ ผมว่าเราต้องพยายามทำใจและปล่อยวางไป ไม่ใช่ธุระอะไรที่เราจะต้องไปบังคับเขาหรือเที่ยวถ่ายรูปมาประจาน แต่ละคนอาจมีเหตุผลต่างๆ กันไป ผมเชื่อได้ว่า ถ้าในหลวงรับรู้ได้พระองค์ท่านก็คงไม่อยากให้พสกนิกรของพระองค์ขัดแย้งด้วยเรื่องนี้
เพราะเรื่องไว้ทุกข์นั้น รัฐบาลเขาไม่ได้มีกฎเกณฑ์บังคับสำหรับคนธรรมดา ส่วนคนที่ต้องการไว้อาลัยนั้น รัฐบาลเขาก็บอกว่าจะใส่สีดำ ขาว หรือเทาก็ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าไม่มีเสื้อ 3 สีนี้หรือกรณีที่ต้องการใส่เป็นเวลานานสีทึมๆ เช่น น้ำเงิน คราม หรือน้ำตาลก็น่าจะได้ ส่วนคนที่ขัดสนจริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เอากันตามกำลังความสามารถ เรื่องนี้ไม่ควรทำให้ขุ่นเคืองพระทัย “พ่อ” ที่เฝ้ามองเราอยู่บนเบื้องบนเลย
วันนี้ไม่มี “พ่อ” แล้ว แต่เรายังอยู่ ประเทศชาติของเรายังอยู่ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องตั้งสติและอยู่ให้ได้ในวันไม่มี “พ่อ” นำแนวทางคำสอนของ “พ่อ” มาเป็นบทเรียนสอนชีวิต นั่นต่างหากที่น่าจะเป็นความมุ่งหวังของ “พ่อ” ที่ปฏิบัติให้เราดูเป็นแนวทางมาตลอดชีวิต
แนวทางของ “พ่อ” นี่แหละจะเป็นเกราะกำบังของเรา และถ้าทุกคนปฏิบัติพร้อมกันจะกลายเป็นเกราะกำบังของชาติ ที่จะป้องกันคนคิดร้ายต่อชาติบ้านเมือง
ฝากบทกวีข้างล่างนี้ไว้ในวันที่ไม่มี “พ่อ” อยู่เพื่อให้พวกเรามีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
ตื่นขึ้นมา วันที่ ไม่มีพ่อ
เหลือเพียงม-รดก ตกทอดให้
ตั้งสติ หยัดอยู่ สู้ต่อไป
แม้โลกไม่ ง่ายดาย ให้ทายท้า...