ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ตื่นเต้นเร้าใจกันไปพอสมควรกับการขายฝันของ “แจ๊ค หม่า” พ่อมดอี-คอมเมิร์ซแห่งอาลีบาบา ที่จะมาช่วยปลุกปั้นสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีของไทยให้กระฉ่อนโลก
ความมีวิสัยทัศน์และฝีมือเก่งกาจไม่มีใครปฏิเสธแจ๊ค หม่า ได้ แต่โลกของความเป็นจริงอย่าลืมว่าเหรียญมักมีสองด้านและอาจกลายเป็นดาบสองคมได้เช่นเดียวกัน
ขณะที่แจ๊ค หม่า จะช่วยปลุกเศรษฐกิจไทยให้โชติช่วงชัชวาลย์ผ่านอี-คอมเมิร์ซ หากมองในมุมกลับ ใช่หรือไม่ว่านี่เป็นจังหวะที่ แจ๊ค หม่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์การรุกของบิ๊กเบิ้มจีน จะดูดกลืนกินหรือครอบงำเศรษฐกิจไทยในอนาคต ยิ่งเมื่อมองมูลค่าการค้าผ่านอี-คอมเมิร์ซ ที่กำลังพุ่งทะยานราวกับติดจรวดของไทย เอาแค่เฉพาะปีหน้าซึ่งประมาณว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าสองล้านล้านบาทแล้ว พอมองเห็นไหมว่าแจ๊ค หม่า กำลังคิดอะไร
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดูแลฝ่ายเศรษฐกิจ จะเป็นปลื้มเอามากๆ ในการมาของ แจ๊ค หม่า อาจเพราะความพยายามปลุกปล้ำเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัว ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำมาแล้วหลายวิถีทางยังอยู่ในอาการทรงๆ การได้พ่อมดอี-คอมเมิร์ซ มาปลุกตลาดผ่านช่องทางการค้าที่เข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลกเพียงปลายนิ้วสัมผัส อาจจะช่วยสานฝันไทยแลนด์ 4.0 ให้เป็นจริงขึ้นมาได้
แจ๊ค หม่า ไม่ได้แค่โฉบมาขายฝันแล้วจากไป แต่ยังมีความตกลงถึงขั้นตั้งคณะทำงานร่วมมือกับรัฐบาลไทยอย่างเป็นรูปธรรม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี บอกเล่าหลังจาก แจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป เข้าเยี่ยมคารวะที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม2559 ว่า ได้มีการหารือกันถึงแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาการค้าขายผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ โดย แจ๊ค หม่า ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับเรื่องดิจิทัลของไทยเหมือนกับที่เคยช่วยรัฐบาลจีนและรัฐบาลของอีกหลายประเทศทั่วโลกมาแล้ว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยหรือเอสเอ็มอีที่มีสัดส่วนกว่า 90% ของผู้ประกอบการในไทยทั้งหมดให้มีโอกาสค้าขายไปยังต่างประเทศ
ตามแผนการทางอาลีบาบากรุ๊ปและรัฐบาลไทย จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อมาร่วมจัดทำแผนปฏิบัติการ มีแผนงาน 1ปี โดยทางอาลีบาบาจะมาร่วมพัฒนาแพล็ตฟอร์มเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยค้าขายได้ ทั้งยังจะมาช่วยฝึกนักธุรกิจและเอสเอ็มอีของไทยเรื่องการค้าขายผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ และจะร่วมกับรัฐบาลและสถาบันการศึกษาช่วยสอนเรื่องอี-คอมเมิร์ซ ให้เกิดการตื่นตัวในเด็กรุ่นใหม่ เพื่อสร้างผู้ประกอบการใหม่หรือสตาร์ทอัพขายสินค้าให้กับคนทั่วโลก
แจ๊ค หม่า ยังมองข้ามช็อตหลังชื่นชม โครงการอี-เพย์เม้นท์ ของไทย โดยระบุว่าในอนาคตการใช้เงินสดจะน้อยลง ความสะดวกสบายจากการใช้อี-คอมเมิร์ซ จะมากขึ้น แนวทางการทำธุรกิจในอนาคตหนีไม่พ้นเรื่องอี-เพย์เม้นท์ ซึ่งเขายินดีที่จะพัฒนาระบบอี-เพย์เม้นท์ร่วมกับรัฐบาลไทย เพื่อไม่ให้ระบบมีข้อบกพร่อง โดยเฉพาะระบบป้องกันไม้ให้เกิดการฉ้อฉล
สำหรับคณะทำงานระหว่างรัฐบาลไทยกับทางอาลีบาบากรุ๊ป นายสมคิด จะส่งนายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เป็นตัวแทนเข้าร่วม
การร่วมมือระหว่างอาลีบาบากับรัฐบาลไทยในระดับลึกถึงขั้นร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ รวมไปถึงอี-เพล์เม้นท์ นั้น ทำให้ถูกจับตามองจากสังคม เพราะเท่ากับว่ารัฐบาลไทยเปิดทางให้อาลีบาบาเข้ามาคุมกล่องดวงใจเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเลยทีเดียว ซึ่งประเด็นนี้ ทั้ง รองนายกฯ สมคิด และ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่างออกตัวแทน แจ๊ค หม่า ว่าเขาไม่ได้ต้องการเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจของไทยอย่างที่กังวลกัน
“ประธานอาลีบาบากรุ๊ป เน้นย้ำว่า ไม่ได้ต้องการเข้ามาครอบงำธุรกิจของเมืองไทย แต่ต้องการมาช่วย เพราะเขาเติบโตมากเกินพอแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีก แต่อยากจะพาคนอื่นๆ ไปด้วย ซึ่งเห็นว่านายกรัฐมนตรีเคยพูดว่า เราจะก้าวไปด้วยกันและไม่ทิ้งคนอื่นไว้ข้างหลัง ซึ่งเขาบอกว่าตรงใจ ก็เลยพยายามเข้ามามีส่วนร่วม ส่งเสริม สนับสนุน ให้กับประเทศของเรา”พล.ท.สรรเสริญ ให้การรับรองอย่างแข็งขัน
ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ครั้งนี้ พ่อมดอี-คอมเมิร์ซ ยังร่ายมนต์ขายฝันให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ มีใจฮึกเหิมในการบุกตลาดโลกด้วยการสนทนาในหัวข้อ"A Conversation with Jack Ma on Entrepreneurship and Inclusive Globalization" ที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมี นายชุตินทร คงศักดิ์ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินรายการ แจ๊ค หม่า ได้ปล่อยวรรคทองปลุกเร้าผู้ประกอบการหน้าใหม่หลายต่อหลายช็อต ดังเช่น ขออย่ายอมแพ้แล้วจะประสบผลสำเร็จ
“จงอย่ายอมแพ้ การยอมแพ้นั้นเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดในโลก ผมเองก็เคยคิดจะยอมแพ้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งจะบอกตัวเองว่าให้สู้ต่อไปอีก 3 วัน ซึ่งปาฏิหาริย์มักจะเกิดในช่วง 3วันนี้”เขาบอกพร้อมกับเตือนคนรุ่นใหม่ที่คิดจะทำธุรกิจด้วยว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จในวันข้างหน้าจะต้องยอมเหนื่อย “ถ้าไม่ยอมเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ คุณจะไม่มีวันได้พบกับอนาคตที่สดใส”
แจ๊ค หม่า มองว่า ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรคือจุดแข็งของไทย สามารถส่งออกไปสู่ตลาดใหญ่อย่างจีน ยุโรป และทั่วโลก ดังนั้นสิ่งที่ต้องเข้าไปสนับสนุนคือทำอย่างไรให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าได้บนโลกออนไลน์ เรื่องนี้รัฐบาลต้องวางนโยบายพร้อมพัฒนาอีโคซิสเต็มส์ที่จะผลักดันให้เกิดการเติบโต อาลีบาบาพร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทย การมุ่งสู่สังคมปลอดเงินสด พร้อมจะนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ และจะเข้ามาลงทุนเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่
พ่อมด อี-คอมเมิร์ซ ย้ำและยืนยันว่าไม่คิดจะมาทำเงินในไทย แต่จะเป็น แพลตฟอร์ม อินฟราสตรักเจอร์ ส่วนหนึ่งช่วยพัฒนาอีโคซิสเต็ม เชื่อมโยงการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ยกระดับภาคธุรกิจ และผลักดันให้เกิดการเติบโต โดยบทบาทสำคัญจะเข้ามาเป็นพันธมิตร ไม่ใช่มาควบคุมหรือทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นตายจากไป เพราะหากเป็นเช่นนั้น อาลีบาบาเองคงอยู่ไม่ได้เช่นกัน
แจ๊ค หม่า เชื่อว่า อาลีบาบามีความสามารถที่จะสร้างสิ่งแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ อนาคตอีก 30 ปีข้างหน้าโลกรวมถึงเอเชียจะเข้าสู่วิกฤตการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นต้องมีนโยบายที่เฉพาะออกมารองรับ ส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดเล็กได้มีที่ยืน
วัชรินทร์ เศรษฐกุดั่น ผู้ประกาศข่าวและผู้รายงานข่าวต่างประเทศ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ถอดใจความสำคัญจากการสนทนาของแจ๊ค หม่า ที่ “Saranrom Radio” แพร่ภาพสด เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว และมีผู้แชร์ต่อในโลกออนไลน์อย่างมากมาย โดยสรุปว่า โลกาภิวัตน์ ที่เกิดขึ้นในช่วงยี่สิบปีก็เพื่อบริษัทใหญ่ๆ ที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเราควรให้โลภาภิวัฒน์ เป็นสิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วม เราควรช่วยให้คนรุ่นใหม่ บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสร่วมก้าวไปสู่ความท้าทายด้วยกัน
แจ๊ค หม่า เชื่ออย่างยิ่งว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โลกเราจะเป็นแบบนี้ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด เพราะฉะนั้น เราควรให้บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสมากขึ้น เราควรให้ประเทศกำลังพัฒนา ได้มีโอกาสมากขึ้น และเราควรส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสมากขึ้น
เมื่อหลายพันปีก่อน เรามี Silk Road (เส้นทางสายไหม)ตอนนี้ เราควรมี e-road (เส้นทางอิเลคทรอนิคส์)เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กค้าขาย ทำธุรกิจได้ง่าย คล่องตัว ซึ่งในอนาคต โลกจะมีการปฏิรูปเทคโนโลยี โดยให้เวลา 50 ปี ช่วง 20 ปีข้างหน้า อินเตอร์เน็ต จะกลายเป็นของเก่า และช่วง 30 ปีจากนั้น โลกเราจะซื้อ-ขายปลีก ในรูปแบบใหม่ (new retail) คือonline กับoffline และเข้าสู่ยุคการผลิตใหม่ ที่เรียกว่า IOT (Internet of Things) มีระบบการเงินใหม่
...โลกในยุค IT เอเชียล้าหลังสหรัฐฯ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปไวเหมือนกบกระโดด เอาง่ายๆ 15 ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อว่า ธุรกิจ e-commerce ของจีน จะโตเร็วขนาดนี้ ก็ในเมื่อโครงสร้างสาธารณูปโภคเพื่อการค้าของจีน แย่สุดๆ ... ถ้าจะว่ากันไปแล้วe-commerce ในสายตาสหรัฐฯ เปรียบเหมือน ของหวาน แต่ จีน มอง e-commerce เป็นอาหารจานหลัก เพราะอะไร ก็เพราะสหรัฐฯ มีห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ทุกเมืองทั่วประเทศ อย่าง Walmart, Kmart แต่จีนเรา ไม่มีแบบนั้น ...
ในยุคที่เครื่อง พีซี เฟื่องฟู ชาวนาชาวสวนเราไม่มี ใช้กันไม่เป็น แต่ยุคนี้ ชาวนาชาวไร่มีมือถือกันทั้งนั้น เชื่อมต่อการค้า กับคนทั่วโลก ได้มากกว่า 4,000ล้านคน ... ไฟฟ้า ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในยุโรป แต่ไปใช้มากในอเมริกา อินเตอร์เน็ท คิดค้นในอเมริกา แต่มาใช้ประโยชน์กันมากในเอเชีย ถ้าคนเอเชีย ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้เต็มที่เต็มกำลัง คิดดู เราจะโตกันขนาดไหน ผมถึงมองว่า เอเชียนั้น มีศักยภาพ
“เราจะทำยังไงให้เอเชียเชื่อมต่อกับอนาคตได้? ผมมองอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก คือ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด .. โลกยุคข้อมูล เราต้องสู้กันด้วยความฉลาดและสมอง ไม่ใช่พละกำลัง คว้าโอกาสที่เห็น ขอให้มีหัวใจที่กล้าแกร่ง ขอให้เปิดใจกว้าง ขอแค่ยอมรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา ไม่ว่าบริษัทคุณจะเล็กแค่ไหน ประเทศเล็กด้อยเพียงไหน คุณสู้ได้แน่นอน
....หลายคนบอกว่า เทคโนโลยี ทำให้คนตกงาน ผมว่าไม่จริง เทคโนโลยี มีแต่จะยิ่งสร้างงาน ดูอย่าง อาลีบาบาของผม สร้างงานให้คนในประเทศมาแล้ว 13 ล้านตำแหน่ง .... เทคโนโลยี จะเป็นปัจจัยสำคัญ ในการขจัดปัญหาความยากจนด้วยซ้ำ
ต้องบอกว่าวิสัยทัศน์แจ๊ค หม่า นั้นเริ่ดมาก แต่การเข้ามาช่วยสร้าง ช่วยหนุน สตาร์ทอัพ ไทยแลนด์ 4.0 จะไม่มีการซ่อนความต้องการสูบและควบคุมอย่างที่ว่าหรือไม่ จับตาดูกันต่อไป