ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - วันที่ 13 ตุลาคม 2559
เป็นอีกวันหนึ่งที่พสกนิกรทั้งประเทศเศร้าสลดอย่างหาที่สุดไม่ได้ เมื่อสำนักพระราชวังได้ออกประกาศเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต” ความว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น
“แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ ๘๙ ทรงครองราชย์สมบัติได้ ๗๐ ปี”
ทั้งนี้ นับเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 พร้อมทั้งพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ความว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็สถิตอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคนตลอดมา
และยิ่งเมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า พระราชจริยวัตรอันงดงามก็ดี รวมทั้งพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อยก็ดี เป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการที่ทรงรับสั่งได้ ก็ย่อมทำให้อาณาประชาราษฎร์ต่างชื่นชมพระบารมี และถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างมิเสื่อมคลายประหนึ่งทรงเป็น “ธรรมิกราชา” ดุจดั่ง “พ่อของแผ่นดิน”
ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต จึงนับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และนับเป็นความวิปโยคที่สุดในชีวิตของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ดังเช่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า “บัดนี้ 70 ปี ในรัชสมัยของ สมเด็จพระภัทรมหาราช พระมหากษัตริย์ ผู้ประเสริฐยิ่ง ของปวงชนชาวไทยได้สิ้นสุดลงแล้ว พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมากมายล้นพ้นหาที่สุดมิได้ มากเพียงใด ความวิปโยคอาลัยของพสกนิกรชาวไทย ก็มากมายท่วมท้นหาที่สุดมิได้เพียงนั้น”
ทั้งนี้ หลังจากที่สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 37 และ 38 เป็นต้นมา พสกนิกรทั้งประเทศได้พร้อมใจกันหลวมรวมดวงใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อขอให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักพระองค์นี้หายจากพระอาการประชวรและทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์
โดยเฉพาะในวันที่ 11 ตุลาคม 2559 ต่อเนื่องวันที่ 12 ตุลาคม 2559 หรือนับตั้งแต่แถลงการณ์ฉบับที่ 38 พสกนิกรชาวไทยพร้อมใจกันใส่ “เสื้อสีชมพู” ซึ่งเป็นสีมงคลยิ่งตามโหราศาสตร์ทักษาพยากรณ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยกันทั้งแผ่นดิน
นอกจากนั้น ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าในทุกจังหวัดยังได้พร้อมใจกันสวดมนต์บท โพชฌงคปริตร ซึ่งเป็นบทสวดที่เชื่อกันว่า เป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้ผู้ได้สดับรับฟังธรรมบทนี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้เพื่อถวาย “พ่อของแผ่นดิน” ของพระองค์นี้ ซึ่งรวมถึงทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ทรงโพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สูทสีชมพู ในอินสตาแกรมส่วนพระองค์ Nichax พร้อมทรงเขียนข้อความถวายพระพร ความว่า “ขอสวดมนต์ถวายพระพรให้หายจากพระอาการประชวรโดยเร็วที่สุด ขอให้ทรงพระเจริญยิ่งยืงนานเพคะ”
ขณะที่คลื่นมหาชนจากทั่วทุกสารทิศได้พากันหลั่งไหลไปที่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิด โดยปักหลักสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และพระรูปหล่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ประดิษฐาน ณ ศาลาศิริราช 100 ปี ตั้งจิตอธิษฐานให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระพลานามัยแข็งแรง หายจากอาการประชวร พร้อมสวดมนต์บท “โพชณังคปริตร” โดยเงยหน้ามองขึ้นไปยัง ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชูเหนือศีรษะแสดงความเคารพอย่างสูงสุด รวมทั้งพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องทั่วบริเวณ
ไม่เพียงเท่านั้น ในโลกสังคมออนไลน์ยังมีการเปลี่ยนโปรไฟล์ภาพส่วนตัวรวมทั้งภาพหน้าปกในเฟซบุ๊กเป็นสีชมพู โดยภาพที่นิยมมากที่สุดคือกราฟิก “หัวใจสีเหลืองบนพื้นสีชมพู” พร้อมข้อความ “รัก ในหลวง” รวมถึงเกิดกระแสการตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรด้วยข้อความ “พรเดียวที่ขอ ให้พ่อแข็งแรง”
นี่คือปรากฏการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรไทยที่หลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อถวายต่อพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวผู้อยู่เหนือเกล้าของไทย
ที่สำคัญไม่เพียงแต่ปวงชนชาวไทยเท่านั้น เพราะแม้แต่ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนพระองค์ His Majesty King Jigme Khesar Namgyel Wangchuck พร้อมลงพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2559 โดยมีพระบรมราชโองการให้วัดทั่วประเทศจัดพิธีสวดมนต์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์ของไทย ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ จากพระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เพื่อประทับรักษาพระอาการประชวร ต่อมาสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรอท (ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลง ในความดันพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ จากนั้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 12 ซึ่งคณะแพทย์ฯได้รายงานว่า พระอาการทั่วไปดีขึ้น และพระวรกายแข็งแรงเป็นลำดับ
ต่อมาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ออกจากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กลับมาประทับที่โรงพยาบาลศิริราช โดยมีแถลงการณ์ฉบับที่ 13 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ฯ เพื่อถวายตรวจพระสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามผลของการใส่สายระบายน้ำไขสันหลังจากช่องไขสันหลังเข้าสู่ช่อง พระนาภี พระองค์ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช กระทั่งวันสวรรคต รวมระยะเวลา 502 วัน
ทันทีที่สำนักพระราชวังมีประกาศแถลงการณ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร สวรรคต เสียงร่ำไห้ด้วยความโศกาอาดูรก็ดังขึ้นในทุกหัวระแหงของแผ่นดิน ทั่วทุกจังหวัด เต็มไปด้วยความเงียบเหงา พสกนิกรที่ทราบข่าวต่างเศร้าสลด และร่ำไห้ด้วยความเสียใจ อย่าง สุดซึ้ง
ไม่เพียงแต่ปวงชนชาวไทยเท่านั้น โลกต่างก็น้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เนื่องด้วยได้ประจักษ์เห็นถึงพระราชกรณียกิจและแนวพระราชดำริที่พระราชทานไว้ให้กับโลกมนุษย์
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนพระองค์ ระบุว่า ทรงรับทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความเสียพระราชหฤทัยอย่างสุดซึ้ง สมเด็จพระราชาธิบดี, สมเด็จพระราชบิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ พร้อมคณะสงฆ์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล รวมถึงชุมชนคนไทยในภูฏาน ได้ร่วมกันจุดดวงประทีป 1,000 ดวง พร้อมสวดมนต์เพื่อรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ วิหารเกนราแห่ง ทาชิโชซอง ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของภูฏาน พร้อมมีรับสั่งให้จัดพิธีสวดรำลึกเป็นกรณีพิเศษดังกล่าวและให้จุดดวงประทีปทั่วทุกวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั่วราชอาณาจักรภูฏาน เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประกาศให้วันที่ 14 ตุลาคมนี้ เป็นวันแห่งการไว้อาลัยของชาวภูฏานทั้งประเทศ กำหนดให้ลดธงครึ่งเสา เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระเกียรติคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะให้เป็นวันหยุดราชการและโรงเรียนทั่วประเทศปิดการเรียนสอน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมกันสวดมนต์เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีจะเสด็จเป็นองค์ประธานในการประกอบพิธีสวดที่สถูปอนุสรณ์สถานแห่งชาติชอร์เตน โดยสมเด็จพระราชชนนีจะเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีสวดบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วิหารเกนราแห่งทาชิโชซอง ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ถัดไปจะมีการจุดดวงประทีปและสวดบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย ณ วิหารทิมพูทาชิโชซอง, สถูปอนุสรณ์สถานแห่งชาติชอร์เตน, วิหารสำคัญๆทั่วประเทศ ประกอบด้วย ชานกังคาลาคัง, ศาลาไทย, สวนสาธารณะ 100 ปี, พูนาคาซอง, ตรองซาซอง, ตราชิกังซอง, พาโรทักซาง, พาโรกีชู ลากัง, ทาลี ดราซาง, ซัมเซชีพมันดีร์ และ พูเอ็นโชลิง ซางโตเปลรี
นอกจากนั้นยังมีบุคคลสำคัญของโลก รวมทั้งเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ในประเทศไทย ร่วมน้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัยในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก เช่น นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายมาร์ค เคนท์ อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย นายเฆซุส มิเกล ซันส์ เอกอัครราชทูตและหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย นายไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เป็นต้น
ขณะที่สํานักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา เป็นเวลา ๓๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ด้านข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกําหนด ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป สําหรับประชาชนทั่วไป ขอให้พิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสม”
ส่วนเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แถลงภายหลังการประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงรับสั่งไว้ว่า ท่านทรงรับพระราชทานเป็นองค์รัชทายาทอยู่แล้วในแล้วปัจจุบัน แต่ท่านทรงขอเวลาทำพระทัยและแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนทั้งประเทศไปก่อนในระยะเวลานี้ และท่านขอเวลาสำหรับกระบวนการของกฎหมายในการอัญเชิญขึ้นสืบราชสมบัตินั้นให้รอเวลาที่เหมาะสม โดยหลังจากที่พระองค์ทรงทำพระทัยแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนและทรงนึกถึงพระราชบิดา
ทั้งนี้เมื่อร่วมแสดงความเสียใจและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ร่วมกับประชาชนผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมโดยทรงยืนยันว่า ทรงตระหนักในหน้าที่องค์รัชทายาทในส่วนของพระราชภารกิจต่างๆ จะทรงปฏิบัติต่อไปในฐานะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หวังว่าทุกคนคงเข้าใจและไม่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย