ผบ.ตร. ยอมรับการข่าวไทยและต่างประเทศตรงกัน มีข้อมูลกลุ่มผู้ต้องสงสัย จ้องป่วนเมืองจริง เร่งสอบสวนขยายผล เผ้าระวังเข้ม ด้านผบ.ทบ. ยังไม่ยืนยัน แต่เตรียมป้องกันให้ดีที่สุด ชี้ตื่นตัวได้ แต่อย่าตื่นตระหนก ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายพื้นที่ทั้งภาคใต้ตอนล่างและตอนบนระดมกำลังคุมเข้มหลังมีกระแสข่าวเตือนกลุ่มผู้ไม่หวังดีเตรียมก่อความไม่สงบ
วานนี้ (13 ต.ค.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีหน่วยข่าวกรองเตือนวินาศกรรม 3 จุดในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ช่วงวันที่ 25-30 ต.ค.นี้ ว่า เรื่องนี้ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมกุล รองผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้ดำเนินการติดตามรวมทั้งวางมาตรการดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งการข่าวของไทยและต่างประเทศมีข้อมูลตรงกัน ส่วนการตรวจค้นพื้นที่ต้องสังสัยหลายจุดเมื่อวันที่ 11ต.ค.ที่ผ่านมา และสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้หลายราย
ขณะนี้อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการเตรียมป่วนกทม.หรือไม่ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนก่อน โดยเฉพาะผู้ต้องสงสัยชาวยะลาที่ควบคุมตัวไว้นั้น ยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่เพื่อสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม
"ส่วนตัวมองว่าสาเหตุที่การข่าวแจ้งเตือนช่วงปลายเดือนต.ค.นี้เป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับวันสำคัญหลายอย่าง โดยในส่วนของตำรวจมีการเฝ้าระวังและป้องกันการก่อเหตุเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะสถานที่ที่อาจตกเป็นเป้าหมาย" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว
ส่วนกระแสข่าว นายรุสลัน ใบมะ หนึ่งในผู้ต้องหาตามหมายจับคดีระเบิดและวางเพลิง 7 จังหวัดภาคใต้ ไปปรากฏตัวที่ จ.สงขลา เพื่อวางแผนก่อเหตุ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ยังไม่ยืนยันเรื่องดังกล่าว แต่เห็นว่านายรุสลัน เป็นคนในพื้นที่อยู่แล้ว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพิ่มเติมว่า ขณะนี้รู้ตัวกลุ่มผู้ต้องสงสัยจ้องก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนมาตรการคุมเข้มสถานที่ต่างๆ รวมถึงจุดเสี่ยง ได้สั่งการให้ตรวจสอบในทุกพื้นที่ และยืนยันว่าตำรวจสามารถดูแลสถานการณ์ได้ ส่วนรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมในพื้นที่ภาคใต้จำนวน 32 คัน ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าพบในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
*** ผบ.ทบ.ไม่ยืนยัน เหตุคาร์บอมบ์กทม.-ปริมณฑล แต่ก็ต้องป้องกันให้ดีที่สุด ชี้ตื่นตัวได้ แต่อย่าตื่นตระหนก
พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหน่วยปฏิบัติ ได้เตรียมการตรวจสอบรายละเอียด ทั้งนี้ การแจ้งเตือนเป็นเรื่องปกติ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันทั้งโลกเจอกับเหตุการณ์ก่อการร้าย ไทยก็จุดหนึ่งที่อาจเกิดเรื่องเหล่านี้ได้ เมื่อมีการแจ้งเตือนมา หน่วยทั้งหมดที่เกี่ยวกับความมั่นคง ก็จะเข้มงวดในการตรวจสอบ ระแวดระวัง ถือเป็นสิ่งดี บางคนอาจมองว่าเป็นการทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ตนคิดว่าทุกคนเข้าใจดี เพราะเป็นสถานการณ์สากล เราก็เปลี่ยนจากคำว่า ตื่นตระหนก มาเป็นคำว่า ตื่นตัว และช่วยกันดูแลความปลอดภัย ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เห็นอะไรผิดปกติก็แจ้งเจ้าหน้าที่
"จริง หรือ เท็จเราไม่รู้ แต่เมื่อมีข่าวมา เราก็ทำอย่างดีที่สุด แต่ผลสำเร็จจะได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่ที่ความร่วมมือร่วมใจ และความเข้าใจของประชาชนด้วย ในบทบาทของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ก็ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการร่วมกันทุกขั้นตอน ในทุกกองทัพภาค ในพื้นที่ทีมีการแจ้งเตือน เราก็ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชน พื้นที่สาธารณะ ศูนย์การค้า ก็อาศัยเครือข่ายภาคประชาชนร่วมด้วย"
***กทม.สั่งพร้อมรับเหตุฉุกเฉิน
รายงาน ข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่า ปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ นร.5116.1/11 ลงวันที่ 12 ต.ค.2559 ถึงหน่วยงานในสังกัดกทม. เพื่อเป็นการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ดังนี้
1.ให้ทุกหน่วยงานและส่วนราชการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการอย่างเข้มงวด จัดระบบสื่อสารให้สามารถติดต่อผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย จัดเตรียมรถดับเพลิง รถไฟฟ้าสองสว่าง เครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ให้พร้อมในการสนับสนุนปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคงตามที่ร้องขอ
3.สำนักการแพทย์และสำนักอนามัย เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เวชภัณฑ์ โรงพยาบาล รถพยาบาล รถศูนย์เอราวัณ รวมทั้งประสานงานเครือข่ายให้พร้อมปฏิบัติงาน 4.สำนักการจราจรและขนส่ง ตรวจสอบกล้องวงจรปิด(ซีซีทีวี) ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ทันที และบันทึกเหตุการณ์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
5.สำนักเทศกิจ จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การดูแลเพื่อความสะดวกด้านการจราจร ความเดือดร้อนของประชาชน และ 6.สำนักสิ่งแวดล้อม จัดเตรียมรถน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ ให้พร้อมในการสอบสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ ได้สั่งให้สำนักงานเขตดำเนินการ จัดเจ้าหน้าที่สังเกต ตรวจตราดูแลความปลอดภัยของอาคารสำนักงานเขต สถานที่ราชการ สถานที่สำคัญ เขตพระราชฐาน บ้านของบุคคลสำคัญในพื้นที่ ป้ายรถเมล์ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส รถบีอาร์ที และแหล่งชุมชนทุกแห่ง รวมถึงกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่่ายรายงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือผู้บังคับบัญชา หากพบเห็นสิ่งปกติ หรือบุคคลต้องสงสัย เป็นต้น
**ผบช.ภาค 9 สั่งคุมเข้มทุกพื้นที่
ที่ สภ.ตรัง พล.ต.ต.สาคร ทองมุณี รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมผลความคืบหน้าคดีวางระเบิด และคดีต่างๆ พร้อมกล่าวถึงการเฝ้าระวังดูแลเรื่องความปลอดภัย จ.ตรัง เนื่องจากเป็นจังหวัดเศรษฐกิจที่ต้องมีมาตรการดูแลความปลอดภัย หลังจากมีคำเตือนล่าสุดให้เฝ้าระวังพื้นที่ต่างๆ อย่างเต็มที่ในช่วงนี้ ซึ่งจากเหตุการณ์วางระเบิดที่เกิดล่าสุดใน จ.ตรัง ทำให้ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น อีกทั้งจากนโยบายของรองนายกฯ ประวิทย์ วงศ์สุวรรณ ยังได้กำชับให้ตำรวจร่วมกับทหาร และฝ่ายปกครอง หามาตรการป้องกันคดีความมั่นคงในพื้นที่ โดยเฉพาะคดีวางระเบิดที่ทำให้ไม่เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ทรัพย์สินและการท่องเที่ยว
**ภูเก็ตคุมเข้มแหล่งท่องเที่ยว พื้นที่เสี่ยง
ด้าน พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวถึงมาตราการเฝ้าระวังการก่อวินาศกรรม และการลอบวางระเบิดสถานที่เชิงสัญลักษณ์ ตามที่มีการแจ้งเตือนในขณะนี้ว่า สำหรับการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตนั้น มีการดำเนินการมาโดยตลอด เพราะภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว และยิ่งในช่วงที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในประเทศ และต่างประเทศทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มมาตรการในการดูแลความปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้นไปอีก และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาในภูเก็ตได้เกิดเหตุการณ์การลอบวางระเบิด ทางตำรวจภูธรภูเก็ต ไม่ได้เคยประมาท และพยายามวางมาตรการในการระวังป้องกันอย่างเต็มที่
**ตำรวจ-ทหารตั้งด่านตรวจเข้มหัวหิน
ด้านนายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอหัวหิน พร้อม พ.ต.อ.สิทธิชัย ศรีโสภาเจริญรัตน์ ผกก.สภ.หัวหิน ตรวจเยี่ยมกำลังพล และชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานให้แก่ตรำรวจ สภ.หัวหิน ตำรวจท่องเที่ยว และทหารจากศูนย์การทหารราบ ฝ่ายปกครอง และอาสาสมัครมูลนิธิสว่างหัวหินธรรมสถาน ซึ่งได้สนธิกำลังตั้งด่านความมั่นคง บนถนนเพชรเกษม บริเวณสนามบินหัวหิน และหน่วยบริการประชาชนบ้านเขาเต่า ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่จะเข้าสู่เมืองหัวหิน เพื่อป้องกันก่อเหตุความไม่สงบ และป้องกันปราบปรามการก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบ หลังจากอำเภอหัวหิน เคยเป็นพื้นที่เป้าหมายในการก่อเหตุความไม่สงบเมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จึงถือเป็นพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น
วานนี้ (13 ต.ค.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีหน่วยข่าวกรองเตือนวินาศกรรม 3 จุดในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ช่วงวันที่ 25-30 ต.ค.นี้ ว่า เรื่องนี้ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมกุล รองผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้ดำเนินการติดตามรวมทั้งวางมาตรการดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งการข่าวของไทยและต่างประเทศมีข้อมูลตรงกัน ส่วนการตรวจค้นพื้นที่ต้องสังสัยหลายจุดเมื่อวันที่ 11ต.ค.ที่ผ่านมา และสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้หลายราย
ขณะนี้อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการเตรียมป่วนกทม.หรือไม่ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนก่อน โดยเฉพาะผู้ต้องสงสัยชาวยะลาที่ควบคุมตัวไว้นั้น ยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่เพื่อสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม
"ส่วนตัวมองว่าสาเหตุที่การข่าวแจ้งเตือนช่วงปลายเดือนต.ค.นี้เป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับวันสำคัญหลายอย่าง โดยในส่วนของตำรวจมีการเฝ้าระวังและป้องกันการก่อเหตุเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะสถานที่ที่อาจตกเป็นเป้าหมาย" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว
ส่วนกระแสข่าว นายรุสลัน ใบมะ หนึ่งในผู้ต้องหาตามหมายจับคดีระเบิดและวางเพลิง 7 จังหวัดภาคใต้ ไปปรากฏตัวที่ จ.สงขลา เพื่อวางแผนก่อเหตุ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ยังไม่ยืนยันเรื่องดังกล่าว แต่เห็นว่านายรุสลัน เป็นคนในพื้นที่อยู่แล้ว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพิ่มเติมว่า ขณะนี้รู้ตัวกลุ่มผู้ต้องสงสัยจ้องก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนมาตรการคุมเข้มสถานที่ต่างๆ รวมถึงจุดเสี่ยง ได้สั่งการให้ตรวจสอบในทุกพื้นที่ และยืนยันว่าตำรวจสามารถดูแลสถานการณ์ได้ ส่วนรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมในพื้นที่ภาคใต้จำนวน 32 คัน ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าพบในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
*** ผบ.ทบ.ไม่ยืนยัน เหตุคาร์บอมบ์กทม.-ปริมณฑล แต่ก็ต้องป้องกันให้ดีที่สุด ชี้ตื่นตัวได้ แต่อย่าตื่นตระหนก
พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหน่วยปฏิบัติ ได้เตรียมการตรวจสอบรายละเอียด ทั้งนี้ การแจ้งเตือนเป็นเรื่องปกติ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันทั้งโลกเจอกับเหตุการณ์ก่อการร้าย ไทยก็จุดหนึ่งที่อาจเกิดเรื่องเหล่านี้ได้ เมื่อมีการแจ้งเตือนมา หน่วยทั้งหมดที่เกี่ยวกับความมั่นคง ก็จะเข้มงวดในการตรวจสอบ ระแวดระวัง ถือเป็นสิ่งดี บางคนอาจมองว่าเป็นการทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ตนคิดว่าทุกคนเข้าใจดี เพราะเป็นสถานการณ์สากล เราก็เปลี่ยนจากคำว่า ตื่นตระหนก มาเป็นคำว่า ตื่นตัว และช่วยกันดูแลความปลอดภัย ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เห็นอะไรผิดปกติก็แจ้งเจ้าหน้าที่
"จริง หรือ เท็จเราไม่รู้ แต่เมื่อมีข่าวมา เราก็ทำอย่างดีที่สุด แต่ผลสำเร็จจะได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่ที่ความร่วมมือร่วมใจ และความเข้าใจของประชาชนด้วย ในบทบาทของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ก็ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการร่วมกันทุกขั้นตอน ในทุกกองทัพภาค ในพื้นที่ทีมีการแจ้งเตือน เราก็ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชน พื้นที่สาธารณะ ศูนย์การค้า ก็อาศัยเครือข่ายภาคประชาชนร่วมด้วย"
***กทม.สั่งพร้อมรับเหตุฉุกเฉิน
รายงาน ข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่า ปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ นร.5116.1/11 ลงวันที่ 12 ต.ค.2559 ถึงหน่วยงานในสังกัดกทม. เพื่อเป็นการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ดังนี้
1.ให้ทุกหน่วยงานและส่วนราชการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการอย่างเข้มงวด จัดระบบสื่อสารให้สามารถติดต่อผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย จัดเตรียมรถดับเพลิง รถไฟฟ้าสองสว่าง เครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ให้พร้อมในการสนับสนุนปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคงตามที่ร้องขอ
3.สำนักการแพทย์และสำนักอนามัย เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เวชภัณฑ์ โรงพยาบาล รถพยาบาล รถศูนย์เอราวัณ รวมทั้งประสานงานเครือข่ายให้พร้อมปฏิบัติงาน 4.สำนักการจราจรและขนส่ง ตรวจสอบกล้องวงจรปิด(ซีซีทีวี) ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ทันที และบันทึกเหตุการณ์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
5.สำนักเทศกิจ จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การดูแลเพื่อความสะดวกด้านการจราจร ความเดือดร้อนของประชาชน และ 6.สำนักสิ่งแวดล้อม จัดเตรียมรถน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ ให้พร้อมในการสอบสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ ได้สั่งให้สำนักงานเขตดำเนินการ จัดเจ้าหน้าที่สังเกต ตรวจตราดูแลความปลอดภัยของอาคารสำนักงานเขต สถานที่ราชการ สถานที่สำคัญ เขตพระราชฐาน บ้านของบุคคลสำคัญในพื้นที่ ป้ายรถเมล์ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส รถบีอาร์ที และแหล่งชุมชนทุกแห่ง รวมถึงกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่่ายรายงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือผู้บังคับบัญชา หากพบเห็นสิ่งปกติ หรือบุคคลต้องสงสัย เป็นต้น
**ผบช.ภาค 9 สั่งคุมเข้มทุกพื้นที่
ที่ สภ.ตรัง พล.ต.ต.สาคร ทองมุณี รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมผลความคืบหน้าคดีวางระเบิด และคดีต่างๆ พร้อมกล่าวถึงการเฝ้าระวังดูแลเรื่องความปลอดภัย จ.ตรัง เนื่องจากเป็นจังหวัดเศรษฐกิจที่ต้องมีมาตรการดูแลความปลอดภัย หลังจากมีคำเตือนล่าสุดให้เฝ้าระวังพื้นที่ต่างๆ อย่างเต็มที่ในช่วงนี้ ซึ่งจากเหตุการณ์วางระเบิดที่เกิดล่าสุดใน จ.ตรัง ทำให้ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น อีกทั้งจากนโยบายของรองนายกฯ ประวิทย์ วงศ์สุวรรณ ยังได้กำชับให้ตำรวจร่วมกับทหาร และฝ่ายปกครอง หามาตรการป้องกันคดีความมั่นคงในพื้นที่ โดยเฉพาะคดีวางระเบิดที่ทำให้ไม่เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ทรัพย์สินและการท่องเที่ยว
**ภูเก็ตคุมเข้มแหล่งท่องเที่ยว พื้นที่เสี่ยง
ด้าน พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวถึงมาตราการเฝ้าระวังการก่อวินาศกรรม และการลอบวางระเบิดสถานที่เชิงสัญลักษณ์ ตามที่มีการแจ้งเตือนในขณะนี้ว่า สำหรับการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตนั้น มีการดำเนินการมาโดยตลอด เพราะภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว และยิ่งในช่วงที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในประเทศ และต่างประเทศทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มมาตรการในการดูแลความปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้นไปอีก และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาในภูเก็ตได้เกิดเหตุการณ์การลอบวางระเบิด ทางตำรวจภูธรภูเก็ต ไม่ได้เคยประมาท และพยายามวางมาตรการในการระวังป้องกันอย่างเต็มที่
**ตำรวจ-ทหารตั้งด่านตรวจเข้มหัวหิน
ด้านนายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอหัวหิน พร้อม พ.ต.อ.สิทธิชัย ศรีโสภาเจริญรัตน์ ผกก.สภ.หัวหิน ตรวจเยี่ยมกำลังพล และชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานให้แก่ตรำรวจ สภ.หัวหิน ตำรวจท่องเที่ยว และทหารจากศูนย์การทหารราบ ฝ่ายปกครอง และอาสาสมัครมูลนิธิสว่างหัวหินธรรมสถาน ซึ่งได้สนธิกำลังตั้งด่านความมั่นคง บนถนนเพชรเกษม บริเวณสนามบินหัวหิน และหน่วยบริการประชาชนบ้านเขาเต่า ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่จะเข้าสู่เมืองหัวหิน เพื่อป้องกันก่อเหตุความไม่สงบ และป้องกันปราบปรามการก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบ หลังจากอำเภอหัวหิน เคยเป็นพื้นที่เป้าหมายในการก่อเหตุความไม่สงบเมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จึงถือเป็นพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น