ตลาดหุ้นไทยดิ่งหนัก หลังนักลงทุนผวาปัจจัยลบภายในประเทศ เททิ้งต่อเนื่องกดดัชนีร่วงต่ำสุดเกือบ 100 จุด ก่อนจะฟื้นตัวปิดตลาดที่ 1,406.18 จุด ลดลงจากวันก่อน 36.03 จุด คิดเป็น2.50% มูลค่าการซื้อขายสูงสุดนับตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นที่ 1.3 แสนล้านบาท โบรกเกอร์แนะถือเงินสด เลือกเข้าลงทุนรายหลักทรัพย์พื้นฐานดี
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (12 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างหนักตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะหนักสุดในช่วงบ่าย ท่ามกลางปัจจัยลบภายในประเทศ โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,343.13 จุด ลดลงจากวันก่อนถึง 99.08 จุด ก่อนจะแกว่งตัวในแดนลบ ปิดการซื้อขายที่ 1,406.18 จุด ลดลง 36.03 จุด เปลี่ยนแปลง 2.50% มูลค่าการซื้อขาย 130,152.19 ล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 411.36 ล้านบาท กองทุนขายสุทธิ 1,221.54 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 3,023.47 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,656.38 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ปิดที่ 356 บาท ลดลง 24.00 บาท หรือ 6.32% มูลค่าการซื้อขาย 7,524.55 ล้้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 337 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 6,476.37 ล้านบาท และบมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ปิดที่ 59 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือ 1.26% มูลค่าการซื้อขาย 6,361.25 ล้านบาท
โดยตลอดระยะเวลา 3 วัน ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมลดลงกว่า 98.16 จุด และมูลค่าตามราคาตลาดรวมลดลงเหลือเพียง 13.61 ล้านล้านบาท
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต เปิดเผยว่า ภาพรวมหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงแรงระหว่างวันจากความสับสนของกระแสข่าวในประเทศ กดดันจิตวิทยากการลงทุน อีกส่วนอาจมีหุ้นบางส่วนที่ลงทุนด้วยมาร์จิ้นโดน force sell กดดันดัชนีฯ ร่วงไปกว่า 90 จุดในช่วงเปิดตลาดภาคบ่าย ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นมาได้ช่วงท้ายตลาด
“สัปดาห์ที่แล้วดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ได้มีการเล่นด้วยมาร์จิ้นกัน กลุ่มที่เข้าประมาณวันพุธ พฤหัสฯ คงมีโดน force sell มูลค่าการซื้อขายถึงสูงเป็นประวัติการณ์”
ส่วนแนวโน้มการลงทุนวันนี้ (13 ต.ค.) นักลงทุนยังคงต้องใช้ความระวัง เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าต่อเนื่องกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนเริ่มมีความเสี่ยงที่กดดันให้เงินทุนไหลออก แนะรอดูสถานการณ์ก่อนพิจารณาเลือกลงทุน พร้อมให้แนวรับ 1,390-1,380 ส่วนแนวต้าน 1,430 จุด
ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อสะสมหุ้นรายหลักทรัพย์โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้อานิสงส์การลงทุนภาครัฐ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ
“มองว่าเป็นจังหวะที่ควรเลือกหุ้นดีราคาปรับตัวลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานโดยไม่มีเหตุผล เพราะบริษัทจดทะเบียนยังคงมีศักยภาพการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง”
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ระบุนักลงทุนควรถือเงินสดรอดูทิศทางที่แน่นอนก่อนเข้าลงทุน พร้อมแนะนำการลงทุนควรเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ที่สนใจ กระแสข่าวที่เข้ามากระทบเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คาดว่าบรรยากาศการลงทุนน่าจะผันผวนต่อ เนื่องจากนักลงทุนยังไม่กล้าเข้าลงทุน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรง ดัชนีฯปรับตัวร่วงหนัก โดยเฉพาะเปิดตลาดมาในช่วงบ่ายดัชนีฯ ดิ่งลงแรงเกือบ 100 จุด จากความวิตกกังวลปัจจัยภายในประเทศของนักลงทุน ทำให้เกิดภาวะการตื่นขาย ก่อนที่จะมีแรงช้อนซื้อกลับเข้ามาช่วงใกล้ปิดตลาด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้ปรับตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์กว่า 130,035.05 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คาดบรรยากาศการลงทุนน่าจะผันผวนต่อ ตลาดหุ้นยังอยู่ในช่วงของการปรับฐานอยู่ เนื่องจากนักลงทุนยังไม่กล้าเข้าลงทุนเท่าไหร่นัก ขณะที่ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความเสี่ยงที่กดดันให้เงินทุนไหลออก หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าแรง ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนแนะรอดูสถานการณ์ไปก่อน พร้อมให้กรอบดัชนีฯไว้ที่ระดับ 1,343-1,470 จุด
**ค่าบาทอ่อนสุดรอบ3เดือน
ด้านค่าเงินบาทวานนี้ (12 ต.ค.) ปิดตลาดที่ระดับ 35.74-35.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าสุดของวันที่ระดับ 35.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือน คาดการณ์วันนี้ (13 ต.ค.) แกว่งตัวในระดับ 35.60-35.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ