ผู้ติดตามความเป็นไปในอเมริกาคงทราบดีแล้วว่าในการช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ผู้สมัครของพรรครีพับลิกันชื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศว่าตนแสนฉลาดเพราะสามารถหลบเลี่ยงภาษีได้มาเป็นเวลานับสิบปี ทั้งที่มีรายได้รวมกันเป็นพันล้านดอลลาร์ การประกาศนั้นบ่งชี้ถึงธรรมชาติธาตุแท้ของเขาซึ่งมีข้อมูลสนับสนุนว่าพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเปรียบทั้งบุคคลและสังคมโดยรวม อย่างไรก็ดี คงมีน้อยคนที่ทราบว่าชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งซึ่งชื่อ “อามิช” ยอมจ่ายภาษีตามเกณฑ์ที่รัฐบาทกำหนดไว้แต่กลับไม่รับเงินสวัสดิการจากรัฐบาล เมื่อตนแก่เฒ่าเช่นชาวอเมริกันทั่วไป ในสายตาหรือมาตรที่ใช้วัดความฉลาดของนายทรัมป์ ชาวอามิชดูโง่เง่า แต่มาตรของเขาคงสร้างแต่ปัญหาถ้านำมาใช้อย่างกว้างขวาง
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว บทความในคอลัมน์นี้เสนอเรื่องราวของชาวอามิชหลังผมพาหลานๆ ไปชมย่านที่มีชาวอามิชตั้งบ้านเรือนอยู่มากในมลรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอามิชเหล่านั้นเป็นอเมริกันเต็มตัวเช่นชาวอเมริกันทั่วไป แต่พวกเขากลับไม่ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยในบ้านและในการทำไร่ไถนาไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า รถไถนาหรือรถยนต์ พวกเขาจึงไปไหนมาไหนด้วยการใช้รถม้า และไถนาไถไร่ด้วยไถที่ลากด้วยม้าและลาชาวอามิชดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายโดยใช้การพึ่งพาตนเองและชุมชนของตนเป็นหลักการดำเนินชีวิตแบบนี้ มีผู้มองว่าล้าหลังและไม่ฉลาดตามมาตรของตน
หลังเรื่องราวของชาวอามิชปรากฏในบทความนั้น มีผู้ถามว่าผมรู้เรื่องราวของชาวอามิชได้อย่างไรในเมื่อผมไม่เคยใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขา คำถามแบบนี้ตอบยากนอกจากจะขอเรียนว่านักวิชาการที่ได้รับการยกย่องว่าเชี่ยวชาญในด้านวิวัฒนาการของโลก หรือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไม่มีผู้ใดเคยใช้ชีวิตท่ามกลางวิวัฒนาการ หรือเหตุการณ์ที่ผ่านมานับพันปีแน่นอน ก่อนเขียนหนังสือเรื่อง “อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ” ผมได้ศึกษาเรื่องราวของชาวอามิชจากหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเอกสารและหนังสือหรือการไปดูการดำเนินชีวิตของพวกเขาเท่าที่ทำได้ สำหรับการจะเข้าไปใช้ชีวิตท่ามกลางชาวอามิชจริงๆ นั้นยากยิ่งด้วยปัจจัยหลายอย่าง สำหรับผู้สนใจในประเด็นนี้ขอเรียนว่ามีหนังสือน่าอ่านเรื่อง Better Off เขียนโดยบุคคลภายนอกชุมชนซึ่งเข้าไปใช้ชีวิตแบบอามิชจริงๆ ท่ามกลางชุมชนของชาวอามิชดั้งเดิม หากขาดเวลา หรือไม่แตกฉานในภาษาอังกฤษอาจเข้าไปดาวน์โหลดบทคัดย่อภาษาไทยซึ่งผมใส่พานไว้ให้แล้วในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com ผู้สนใจอ่านเรื่อง “อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ” อาจเข้าไปดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์นี้เช่นกัน
ความจำกัดอันเกิดจากความไม่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ทุกอย่างได้นี้มีอยู่คู่กับเราตลอดเวลา แต่มันมิได้หมายความว่าเราจะถูกปิดหูปิดตาจนไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย หลังจากบทความของผมปรากฏเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มีเรื่องราวของชาวอามิชพิมพ์ออกมาในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคมเรื่อง Incredible tragedy, remarkable healing เขียนโดย Colby Itkowitz เรื่องนี้เขียนขึ้นในวาระครบรอบ 10 ปีของเหตุการณ์อันแสนเศร้าสลดแบบแทบเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในหมู่ชาวอามิช แต่ในขณะเดียวกันเหตุการณ์นั้นนำไปสู่การให้อภัยและมิตรภาพที่เกิดตามมาแบบไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน การให้อภัยและมิตรภาพเกิดขึ้นได้เพราะความแข็งแกร่งของชาวอามิชเป็นหลัก ความแข็งแกร่งนั้นมีฐานอยู่บนการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัดของพวกเขา
เหตุการณ์อันแสนเศร้าสลดแบบแทบเหลือเชื่อเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2549สถานที่เกิดได้แก่โรงเรียนของชาวอามิชในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ผมพาหลานๆ ไปชมประมาณ 15 กม. ในวันนั้น หนุ่มใหญ่ซึ่งอยู่ในย่านใกล้เคียงแต่มิใช่อามิชเดินเข้าไปในโรงเรียนห้องเดียวแห่งนั้น และไล่เด็กทั้งหมดออกจากห้องยกเว้นเด็กหญิง 10 คน เขามัดเด็กหญิงเหล่านั้นไว้แล้วใช้ปืนยิงแบบไม่เลี้ยงก่อนยิงตัวเองตาย เด็กเสียชีวิตไป 5 คน ส่วน 5 คนที่รอดพ้นความตายได้รับบาดเจ็บในระดับต่างๆ กัน บางคนสาหัสมากและพิการจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องเป็นภาระให้แก่ครอบครัวและชุมชนมาจนทุกวันนี้
ดังที่เล่าไว้ในบทความเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โรงเรียนของชาวอามิชเป็นโรงเรียนห้องเดียวซึ่งเด็กเรียนรวมกันหมดจากชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้น 8 หรือ ม. 2 ของเราโรงเรียนที่เกิดฆาตกรรมดังกล่าว (ภาพ) ในขณะนี้มิได้อยู่ให้ดูอีกต่อไปแล้วเนื่องจากชาวอามิชเผาทิ้งและสร้างหลังใหม่ในลักษณะเดียวกันขึ้นมาแทน
ผู้เขียนเรื่องในวอชิงตันโพสต์เท้าความไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ในระหว่างที่พ่อแม่ของเด็กนักเรียนรอฟังข่าวอยู่ในโรงนาว่าลูกๆ ของตนจะรอดชีวิตหรือไม่ ชายอามิชคนหนึ่งเดินทางไปยังบ้านพ่อแม่ของหนุ่มใหญ่ผู้ก่อโศกนาฏกรรม เขามิได้ไปด่าว่าหรือหาเหตุวิวาทแต่อย่างใด ตรงข้ามเขาไปส่งข่าวให้พ่อแม่ของหนุ่มใหญ่นั้น ข่าวมีเนื้อความว่าชาวอามิชส่งเขามาเป็นตัวแทนเพื่อให้บอกว่าชาวอามิชมิได้มองสองคนเป็นศัตรู หากมองว่าเป็นพ่อแม่ที่กำลังโศกเศร้าไม่ต่างกับชาวอามิช ยิ่งกว่านั้น เมื่อถึงวันฝังศพของหนุ่มใหญ่ ชาวอามิชราว 30 คน รวมทั้งพ่อแม่ของเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตบางคนด้วยพากันไปร่วมพิธี ในวาระนี้ ชาวอามิชยืนเรียงกันเป็นกำแพงกั้นมิให้สื่อละเมิดเขตความเหมาะสมเข้าไปถ่ายรูปความเศร้าสลดใกล้ๆ หลุมฝังศพ
หลังจากวันนั้นมา ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มไปมาหาสู่กันฉันมิตร พ่อแม่ของหนุ่มใหญ่ที่เคยคิดว่าตนจะต้องย้ายออกไปอยู่ไกลๆ ก็ไม่ได้ย้ายเพราะชาวอามิชแสดงออกถึงความให้อภัยและเป็นมิตรอย่างแท้จริงเมื่อแม่ของหนุ่มใหญ่ล้มป่วย ชาวอามิชก็ไปช่วยดูแลและทำความสะอาดบ้านให้ พฤติกรรมของชาวอามิชเกิดจากความจริงใจ มิใช่การเสแสร้ง พวกเขาทำได้เพราะจิตใจอันแข็งแกร่งพร้อมมีเมตตาอันเกิดจากการปฏิบัติตามศาสนาของเขาอย่างจริงจัง การช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นประเพณีที่ชาวอามิชยึดปฏิบัติในชุมชนของพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่รับเงินสวัสดิการจากรัฐบาล การออกไปช่วยดูแลแม่ของหนุ่มใหญ่ในยามป่วยไข้อาจมองได้ว่าชาวอามิชรับเธอเป็นสมาชิกในชุมชนของตนด้วยหลักการช่วยเหลือเกื้อกูลกันนี้ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Better Off ยืนยันจากประสบการณ์ตรงของเขาในเวลากว่าปีที่เข้าไปใช้ชีวิตแบบอามิช
ดังที่เขียนไว้ในบทความบทก่อน ชาวอามิชศรัทธาในคำสอนของศาสนาแบบปราศจากข้อกังขาใดๆ และเคร่งครัดในด้านการปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างจริงจัง ความศรัทธาและเคร่งครัดนั้นแสดงออกมาผ่านการดำเนินชีวิตประจำวัน การให้อภัยโดยปราศจากข้อแม้แก่พ่อแม่ของหนุ่มใหญ่ที่ทำร้ายลูกของตนถึงชีวิตเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ก็เป็นตัวอย่างชั้นดี พวกเขาไม่แสดงความศรัทธาในศาสนาผ่านการใช้เงินจำนวนมหาศาลสร้างอาคารและสัญลักษณ์ต่างๆ แม้แต่ไม้กางเขนก็ไม่มีให้เห็น เนื่องจากการมุ่งกระทำเช่นนั้นมักนำไปสู่การบิดเบือนคำสอนของศาสนา และเป็นศรัทธาจอมปลอมซึ่งมีให้ดูอยู่ทั่วไปในศาสนากระแสหลัก
การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายโดยไม่ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัย และไม่เอาเปรียบผู้อื่นของชาวอามิชถูกบางคนมองว่าล้าสมัยและไม่ฉลาด แต่ถ้าให้ผู้มองเช่นนั้นเลือกว่าต้องการใครเป็นเพื่อนบ้านระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับชาวอามิช ผมคิดว่าส่วนใหญ่ไม่ต้องการนายทรัมป์แม้แต่พวกที่มีจิตใจระยำพอๆ กันก็อาจไม่เลือกเขา ด้วยเหตุนี้ชาวอามิชอาจไม่ฉลาดตามมาตรของนายทรัมป์ แต่พวกเขาฉลาดตามมาตรของคนดี
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว บทความในคอลัมน์นี้เสนอเรื่องราวของชาวอามิชหลังผมพาหลานๆ ไปชมย่านที่มีชาวอามิชตั้งบ้านเรือนอยู่มากในมลรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอามิชเหล่านั้นเป็นอเมริกันเต็มตัวเช่นชาวอเมริกันทั่วไป แต่พวกเขากลับไม่ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยในบ้านและในการทำไร่ไถนาไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า รถไถนาหรือรถยนต์ พวกเขาจึงไปไหนมาไหนด้วยการใช้รถม้า และไถนาไถไร่ด้วยไถที่ลากด้วยม้าและลาชาวอามิชดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายโดยใช้การพึ่งพาตนเองและชุมชนของตนเป็นหลักการดำเนินชีวิตแบบนี้ มีผู้มองว่าล้าหลังและไม่ฉลาดตามมาตรของตน
หลังเรื่องราวของชาวอามิชปรากฏในบทความนั้น มีผู้ถามว่าผมรู้เรื่องราวของชาวอามิชได้อย่างไรในเมื่อผมไม่เคยใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขา คำถามแบบนี้ตอบยากนอกจากจะขอเรียนว่านักวิชาการที่ได้รับการยกย่องว่าเชี่ยวชาญในด้านวิวัฒนาการของโลก หรือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไม่มีผู้ใดเคยใช้ชีวิตท่ามกลางวิวัฒนาการ หรือเหตุการณ์ที่ผ่านมานับพันปีแน่นอน ก่อนเขียนหนังสือเรื่อง “อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ” ผมได้ศึกษาเรื่องราวของชาวอามิชจากหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเอกสารและหนังสือหรือการไปดูการดำเนินชีวิตของพวกเขาเท่าที่ทำได้ สำหรับการจะเข้าไปใช้ชีวิตท่ามกลางชาวอามิชจริงๆ นั้นยากยิ่งด้วยปัจจัยหลายอย่าง สำหรับผู้สนใจในประเด็นนี้ขอเรียนว่ามีหนังสือน่าอ่านเรื่อง Better Off เขียนโดยบุคคลภายนอกชุมชนซึ่งเข้าไปใช้ชีวิตแบบอามิชจริงๆ ท่ามกลางชุมชนของชาวอามิชดั้งเดิม หากขาดเวลา หรือไม่แตกฉานในภาษาอังกฤษอาจเข้าไปดาวน์โหลดบทคัดย่อภาษาไทยซึ่งผมใส่พานไว้ให้แล้วในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com ผู้สนใจอ่านเรื่อง “อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ” อาจเข้าไปดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์นี้เช่นกัน
ความจำกัดอันเกิดจากความไม่สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ทุกอย่างได้นี้มีอยู่คู่กับเราตลอดเวลา แต่มันมิได้หมายความว่าเราจะถูกปิดหูปิดตาจนไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย หลังจากบทความของผมปรากฏเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มีเรื่องราวของชาวอามิชพิมพ์ออกมาในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคมเรื่อง Incredible tragedy, remarkable healing เขียนโดย Colby Itkowitz เรื่องนี้เขียนขึ้นในวาระครบรอบ 10 ปีของเหตุการณ์อันแสนเศร้าสลดแบบแทบเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในหมู่ชาวอามิช แต่ในขณะเดียวกันเหตุการณ์นั้นนำไปสู่การให้อภัยและมิตรภาพที่เกิดตามมาแบบไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน การให้อภัยและมิตรภาพเกิดขึ้นได้เพราะความแข็งแกร่งของชาวอามิชเป็นหลัก ความแข็งแกร่งนั้นมีฐานอยู่บนการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัดของพวกเขา
เหตุการณ์อันแสนเศร้าสลดแบบแทบเหลือเชื่อเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2549สถานที่เกิดได้แก่โรงเรียนของชาวอามิชในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ผมพาหลานๆ ไปชมประมาณ 15 กม. ในวันนั้น หนุ่มใหญ่ซึ่งอยู่ในย่านใกล้เคียงแต่มิใช่อามิชเดินเข้าไปในโรงเรียนห้องเดียวแห่งนั้น และไล่เด็กทั้งหมดออกจากห้องยกเว้นเด็กหญิง 10 คน เขามัดเด็กหญิงเหล่านั้นไว้แล้วใช้ปืนยิงแบบไม่เลี้ยงก่อนยิงตัวเองตาย เด็กเสียชีวิตไป 5 คน ส่วน 5 คนที่รอดพ้นความตายได้รับบาดเจ็บในระดับต่างๆ กัน บางคนสาหัสมากและพิการจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องเป็นภาระให้แก่ครอบครัวและชุมชนมาจนทุกวันนี้
ดังที่เล่าไว้ในบทความเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โรงเรียนของชาวอามิชเป็นโรงเรียนห้องเดียวซึ่งเด็กเรียนรวมกันหมดจากชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้น 8 หรือ ม. 2 ของเราโรงเรียนที่เกิดฆาตกรรมดังกล่าว (ภาพ) ในขณะนี้มิได้อยู่ให้ดูอีกต่อไปแล้วเนื่องจากชาวอามิชเผาทิ้งและสร้างหลังใหม่ในลักษณะเดียวกันขึ้นมาแทน
ผู้เขียนเรื่องในวอชิงตันโพสต์เท้าความไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ในระหว่างที่พ่อแม่ของเด็กนักเรียนรอฟังข่าวอยู่ในโรงนาว่าลูกๆ ของตนจะรอดชีวิตหรือไม่ ชายอามิชคนหนึ่งเดินทางไปยังบ้านพ่อแม่ของหนุ่มใหญ่ผู้ก่อโศกนาฏกรรม เขามิได้ไปด่าว่าหรือหาเหตุวิวาทแต่อย่างใด ตรงข้ามเขาไปส่งข่าวให้พ่อแม่ของหนุ่มใหญ่นั้น ข่าวมีเนื้อความว่าชาวอามิชส่งเขามาเป็นตัวแทนเพื่อให้บอกว่าชาวอามิชมิได้มองสองคนเป็นศัตรู หากมองว่าเป็นพ่อแม่ที่กำลังโศกเศร้าไม่ต่างกับชาวอามิช ยิ่งกว่านั้น เมื่อถึงวันฝังศพของหนุ่มใหญ่ ชาวอามิชราว 30 คน รวมทั้งพ่อแม่ของเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตบางคนด้วยพากันไปร่วมพิธี ในวาระนี้ ชาวอามิชยืนเรียงกันเป็นกำแพงกั้นมิให้สื่อละเมิดเขตความเหมาะสมเข้าไปถ่ายรูปความเศร้าสลดใกล้ๆ หลุมฝังศพ
หลังจากวันนั้นมา ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มไปมาหาสู่กันฉันมิตร พ่อแม่ของหนุ่มใหญ่ที่เคยคิดว่าตนจะต้องย้ายออกไปอยู่ไกลๆ ก็ไม่ได้ย้ายเพราะชาวอามิชแสดงออกถึงความให้อภัยและเป็นมิตรอย่างแท้จริงเมื่อแม่ของหนุ่มใหญ่ล้มป่วย ชาวอามิชก็ไปช่วยดูแลและทำความสะอาดบ้านให้ พฤติกรรมของชาวอามิชเกิดจากความจริงใจ มิใช่การเสแสร้ง พวกเขาทำได้เพราะจิตใจอันแข็งแกร่งพร้อมมีเมตตาอันเกิดจากการปฏิบัติตามศาสนาของเขาอย่างจริงจัง การช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นประเพณีที่ชาวอามิชยึดปฏิบัติในชุมชนของพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่รับเงินสวัสดิการจากรัฐบาล การออกไปช่วยดูแลแม่ของหนุ่มใหญ่ในยามป่วยไข้อาจมองได้ว่าชาวอามิชรับเธอเป็นสมาชิกในชุมชนของตนด้วยหลักการช่วยเหลือเกื้อกูลกันนี้ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Better Off ยืนยันจากประสบการณ์ตรงของเขาในเวลากว่าปีที่เข้าไปใช้ชีวิตแบบอามิช
ดังที่เขียนไว้ในบทความบทก่อน ชาวอามิชศรัทธาในคำสอนของศาสนาแบบปราศจากข้อกังขาใดๆ และเคร่งครัดในด้านการปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างจริงจัง ความศรัทธาและเคร่งครัดนั้นแสดงออกมาผ่านการดำเนินชีวิตประจำวัน การให้อภัยโดยปราศจากข้อแม้แก่พ่อแม่ของหนุ่มใหญ่ที่ทำร้ายลูกของตนถึงชีวิตเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ก็เป็นตัวอย่างชั้นดี พวกเขาไม่แสดงความศรัทธาในศาสนาผ่านการใช้เงินจำนวนมหาศาลสร้างอาคารและสัญลักษณ์ต่างๆ แม้แต่ไม้กางเขนก็ไม่มีให้เห็น เนื่องจากการมุ่งกระทำเช่นนั้นมักนำไปสู่การบิดเบือนคำสอนของศาสนา และเป็นศรัทธาจอมปลอมซึ่งมีให้ดูอยู่ทั่วไปในศาสนากระแสหลัก
การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายโดยไม่ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัย และไม่เอาเปรียบผู้อื่นของชาวอามิชถูกบางคนมองว่าล้าสมัยและไม่ฉลาด แต่ถ้าให้ผู้มองเช่นนั้นเลือกว่าต้องการใครเป็นเพื่อนบ้านระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับชาวอามิช ผมคิดว่าส่วนใหญ่ไม่ต้องการนายทรัมป์แม้แต่พวกที่มีจิตใจระยำพอๆ กันก็อาจไม่เลือกเขา ด้วยเหตุนี้ชาวอามิชอาจไม่ฉลาดตามมาตรของนายทรัมป์ แต่พวกเขาฉลาดตามมาตรของคนดี