xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิลิ้ม” ชีวิตที่ “คุ้มค่ามนุษย์”! (ตอนสี่)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

ความไม่แน่นอน-คือ-ความแน่นอน! ชีวิตมนุษย์จึงมี “ขึ้น ”มี “ลง” เสมอ..

เฉกเช่นชีวิตของ “น้าชาติ-พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” ที่เป็นเสมือน “แมวเก้าชีวิต” ทางการเมือง “น้าชาติ” เคยตกต่ำถึงขนาดถูก “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์”โยกย้ายไปอยู่ไกลถึงประเทศอาร์เจนติน่า

ทว่า..หลัง “จอมพลผ้าขาวม้า” สิ้นชีวิตลง “จอมพลถนอม กิตติขจร” ขึ้นมาเป็นนายกฯ ชีวิตทางการเมือง “น้าชาติ” ก็กลับมาดีวันดีคืน ยิ่งหลังเหตุการณ์ 14 ตุลามคม 2516 เส้นทางการเมืองของ “น้าชาติ” เจิดจ้ามากยิ่งขึ้น โดย “น้าชาติ” ได้เป็นรมว.ต่างประเทศ ยุค “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2518

เป็นห้วง “พญาอินทรีปีกหัก” พ่ายศึกอย่างยับเยิน ในสงครามเวียดนาม-กัมพูชา-ลาว จนประเทศในอินโดจีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นระบอบ “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” ทั้งหมด ทำให้โลกตะวันตกกลัวจะเกิดทฤษฎี “โดมิโน” มโนว่า..ไทยอาจเป็นชาติแรกในเอเซียอาคเนย์ ที่จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ในอนาคตอันใกล้ เพราะประเทศไทยมีดินแดนติดกับชาติอินโดจีน “กัมพูชา-กับ-ลาว” นั่นเอง

แต่นายกรัฐมนตรี “คึกฤทธิ์” กับ “น้าชาติ ”รมว.ต่างประเทศ ได้ใช้กลยุทธอันชาญฉลาด “จี้จุดคี้มึ้ง” หยุดการรุกคืบของชาติคอมมิวนิสต์อินโดจีนในไทย ด้วยการ “ลอดใต้ปีกพญาอินทรี” แอบไป “จับมือพญามังกร” เปิดสัมพันธไมตรีทางการทูตอย่างเป็นทางการกับประเทศจีน ซึ่งเป็น “ขาใหญ่คอมมิวนิสต์” ใน
ภูมิภาคนี้ทันที

งานนี้..ทำให้ชาติไทยรอดปากเหยี่ยวปากกา คอมมิวนิสต์อินโดจีนมาได้จนทุกวันนี้ แถมผลพลอยได้อันใหญ่หลวงตามมาคือ พรรคคอมมิวนิสต์ไทย(พคท.) ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยผ่านรัฐบาลจีน ตัดความช่วยเหลือทั้งทางการเงิน และยุทโธปกรณ์ทางทหารอีกมากมาย ทำเอา พคท.อ่อนปวกเปียกลงอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะ พคท. เป็นคอมมิวนิสต์สายจีนเต็มตัว ขณะที่คอมมิวนิสต์เวียดนาม-กัมพูชา-ลาว ในยุคนั้นเอียงกระเท่เร่อยู่ข้างคอมมิวนิสต์โซเวียต ซึ่งกำลังขัดแย้งอย่างรุนแรงกับคอมมิวนิสต์จีน จึงทำให้ พคท.ขาดแนวหลังอย่างคอมมิวนิสต์กัมพูชาและลาวหนุนช่วย

แถมตอนนั้น พคท.ยังเผชิญกับสถานการณ์ ขบวนการนักศึกษาและประชาชน ที่เข้าป่าจับปืนร่วมทำการปฏิวัติกับ พคท.หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เกิดมีความเห็นต่างกับ พคท.ในประเด็นสำคัญๆ จนนำไปสู่ความแตกแยกทางความคิดกันอย่างรุนแรง

ห้วงนั้นรัฐบาล “ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” เดินเกมการเมืองด้วยการรุกฆาต ด้วยนโยบาย 66/2523 เปิดช่องให้เหล่าคอมมิวนิสต์กลับบ้านได้โดยไม่มีความผิดอีกด้วย จึงเกิดปรากฏการณ์ “ป่าแตก” ครั้งมโหฬาร เพราะคอมมิวนิสต์ไทยทั้งใหม่และเก่า ได้เดินตบเท้าออกจากป่าทั่วประเทศเป็นทิวแถว

ทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์ไทยอ่อนแอลงเรื่อยๆ จน พคท.ยุติการต่อสู้ในเวลาต่อมา..!

เย็นวันหนึ่ง พวกเรากำลังนั่งดื่มกาแฟที่บ้าน “จารย์โต้ง” “น้าชาติ”ในชุดเสื้อคอกลมสีขาว สวมกางเกงแพรสีม่วงอมแดง ใบหน้าฉายแววร่าเริงอารมณ์ดีผิดปกติ ได้แวะเข้ามาร่วมวงโดยมิได้นัดหมาย

“โต้ง..พ่อกำลังจะได้เป็นนายกฯ แล้ว โต้งกับเพื่อนๆ ทำเรื่องเวียดนามนะ ส่วนพ่อจะทำเรื่องจีน..”

หลังจากนั้น “จารย์โต้ง” ก็ได้พูดคุยกับพวกเรา เรื่องเวียดนามและเรื่องอื่นๆอีกหลายๆมิติ โดยผมได้เสนอให้ “พีรพล” แล ะ“ฟามเนียน” เป็นหนึ่งในช่องทางที่จะประสานงานกับรัฐบาลเวียดนาม ซึ่ง “จารย์โต้ง” ก็เห็นด้วย

จากนั้น “จารย์โต้ง” ได้ชักชวนเครือข่ายเพื่อนฝูงที่ “จารย์โต้ง” รู้จัก ให้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของ “น้าชาติ” โดยได้เพื่อนสนิทของ “จารย์โต้ง ”และ “สนธิลิ้ม” ที่ชื่อ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ผู้ซึ่งเคยทำงานอยู่ในบริษัทเครือผู้จัดการ มาเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯคนที่ 16 “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ”

เดือนสิงหาคม 2531 รัฐบาล “ป๋าเปรม” ปิดฉากลง ขณะที่รัฐบาล “น้าชาติ” ได้เปิดฉากขึ้น..

แน่นอน “น้าชาติ” ในฐานะนายกฯ ไปนั่งทำงานอยู่ใน “ทำเนียบฯไทยคู่ฟ้า” ส่วน “จารย์โต้ง” ในฐานะหัวหน้าทีมที่ปรึกษา “นายกฯชาติชาย” ยกทีมไปนั่งทำงานอยู่ ณ “บ้านพิษณุโลก”

ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า นโยบายรัฐบาลไทยยุค “น้าชาติ” กับประเทศอินโดจีน ทั้งเวียดนาม-กัมพูชา-ลาว ถูกผลักดันจากหลายๆ ฝ่าย บางกลุ่มผลักดันผ่าน “น้าชาติ” โดยตรง บ้างถูกผลักดันผ่าน “จารย์โต้ง” และทีมที่ปรึกษา แต่งานนี้ “น้าชาติ” จะยึดแนวทาง “จารย์โต้ง” เป็นหลัก โดย “บิ๊กจิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ผู้บัญชาการทหารบก ที่ดูแลความมั่นคงชาติยุคนั้น “เปิดไฟเขียว” ให้เต็มที่

“สนธิลิ้ม” ก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ร่วมกับกลุ่มนักวิชาการในเครือข่าย “ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช” และนักวิชาการอีกกลุ่มเครือข่าย “ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” รวมทั้งบุคคลสำคัญอีกมากมาย ล้วนอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังหลัง ในการผลักดันนโยบายอินโดจีนของ “น้าชาติ” ทั้งสิ้น

ทางส่วนผมและพีรพล ได้ประสานกับ “ฟามเนียม” ขอข้อมูลประเทศที่ค้าขาย กับเวียดนามมาส่งให้กับ “จารย์โต้ง” ซึ่งปรากฎว่า..ขณะที่ประเทศไทยถือเวียดนาม ที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติไทย ถึงขนาดมีการห้ามขายสินค้ากว่า 60 ชนิด ที่ไทยถือเป็นยุทธปัจจัยให้กับประเทศในอินโดจีน แต่สิงค์โปร์กลับแอบส่งไปขายให้เวียดนามเฉยเลย

ทั้งๆ ที่ “รัฐบาลสิงคโปร์” มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ถึงขนาดระบุไว้ในพาสปอร์ต ห้ามชาวสิงคโปร์เดินทางเข้าประเทศคอมมิวนิสต์ เว้นแต่รัฐบาลจะอนุมัติให้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น สิงคโปร์ยังทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ ขวางขัดไม่ให้ประเทศในอาเซียน ค้าขายกับชาติอินโดจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์ด้วย!

ทว่าสินค้ายุทธปัจจัยที่ไทยห้ามขายให้ชาติอินโดจีน เช่น “ผงชูรส” ซึ่ง “ห้ามเลือด”ได้ชะงัด กลับถูกสิงคโปร์สั่งซื้อแล้วเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่ จาก “เมดอินไทยแลนด์” เป็น “เมดอินบราซิล”!!

เมื่อเรือขนสินค้าแล่นออกจากประเทศไทย แทนที่เรือจะมุ่งตรงเข้าประเทศสิงคโปร์ เรือกลับเปลี่ยนทิศทางเลี้ยวไปส่งสินค้ายุทธปัจจัย“ ผงชูรส” ให้ประเทศเวียดนามแทน

ข้อมูลที่รับจากเวียดนามระบุว่า สินค้าไทยที่เวียดนามซื้อจากสิงคโปร์ ในตอนนั้นราว 4 พันล้านบาทต่อปี และข้อมูลนี้ได้ส่งจาก “จารย์โต้ง” ถึงมือ “น้าชาติ” โดยตรง

ดังนั้น ด้วยความคิดอันกว้างไกลของ “นายกฯชาติชาย” อีกทั้งพลังขับเคลื่อนของ “จารย์โต้ง” ผสานกับ“ สนธิลิ้ม” ซึ่งเป็นสื่อที่มีวิสัยทัศน์อันแหลมคม เพียบพร้อมด้วยข้อมูล สนับสนุนให้รัฐบาล “น้าชาติ” เปิดพื้นที่ ทางเศรษฐกิจ-การเมือง-วัฒนธรรม ฯลฯ กับประเทศอินโดจีน โดยบางครั้ง “สนธิลิ้ม” ได้ต่อสายตรงถึง “น้าชาติ-จารย์โต้ง-พันศักดิ์” คือพลังสำคัญขับเคลื่อนให้เกิดแนวนโยบายอินโดจีนโดยแท้

ในขณะที่ “พีรพล” และผมได้ประสานงานกับ “จารย์โต้ง” นัดหมายให้ “นายกฯ ชาติชาย” ได้พบกับ “เหงียนโกตัก” รัฐมนตรีช่วยฯต่างประเทศของเวียดนาม ด้วยการทานอาหารเช้า ใน “เครื่องบินเก่าลำหนึ่ง” ซึ่งตั้งอยู่กลางสนามหญ้าของ “บ้านราชครู” ที่ถูกใช้เป็น “ห้องรับแขกพิเศษทางการเมือง” ครั้งนี้อย่างเงียบๆ

หลังจากนั้นไม่นาน “นายกฯชาติชาย” ได้ประกาศนโยบาย เกี่ยวกับประเทศในอินโดจีนออกสู่ชาวโลกว่า รัฐบาลไทยจะ “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า”

นับแต่นั้นเป็นต้นมา..อดีตสนามรบสามชาติในอินโดจีน จึงแปรเปลี่ยนเป็นตลาดการค้า ทั้งของชาติไทยและสามชาติในอินโดจีนไปโดยปริยาย

เมื่อรัฐบาล “น้าชาติ” ขับเคลื่อนชาติไทยแบบเต็มร้อย “จารย์โต้ง” และทีมงานที่ปรึกษาฯ “บ้านพิษฯ” มีงานล้นมือ ส่วนพีรพลกับผมจะเจอ “จารย์โต้ง” แบบลับๆ โดยพีรพลจะทำงานหลักกับทางเวียดนาม ส่วนผมไปเวียดนามบ้าง กับแวะมาคุยกับ “จารย์โต้ง” ที่ “บ้านราชครู” และ“บ้านพิษฯ” เป็นครั้งคราว

บางครั้งผมกับพีรพลจะโผล่ไปกินกาแฟกับ “สนธิลิ้ม” เพื่อประเทืองปัญญาไปกับการฟังวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ “มิสเตอร์ลิ้ม” ที่ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งในประเทศอินโดจีนและจีนแผ่นดินใหญ่

น่าเสียดายที่รัฐบาล “น้าชาติ” อยู่ได้ไม่นาน ขณะที่เศรษฐกิจในไทยและการค้าขาย กับอินโดจีน-อเมริกา-ยุโรป-ยุค “น้าชาติ” กำลังรุ่งพุ่งแรง

พลันเกิดเหตุการณ์ “เข็มขัดสั้น” หรือ “คาดไม่ถึง” กับรัฐบาล “น้าชาติ” ไปเสียนี่..!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น