“เมกาเคม” ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 100 ล้านหุ้น เล็งเข้าเทรดในตลาด mai โดยมี บล.โนมูระฯ เป็นที่ปรึกษาฯ และอันเดอร์ไรต์ เตรียมนำเงินที่ได้ไปจัดตั้ง สนง.ทั้งในไทย เมียนมา และกัมพูชา
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บมจ. เมกาเคม (ประเทศไทย) ยื่นไฟลิ่งครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ก.ย.59 เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 100 ล้านหุ้น โดยมี บล.โนมูระ พัฒนสิน เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้
บริษัทมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และมีวัตถุประสงค์การใช้เงิน เพื่อตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทย จำนวน 6 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาที่ใช้เงินประมาณ 1 ปี รวมทั้งตั้งสำนักงานสาขาในเมียนมา และกัมพูชา จำนวน 10 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาที่ใช้เงินประมาณ 1 ปี 6 เดือน ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีระยะเวลาที่ใช้เงินประมาณ 1 ปี
ทั้งนี้ เมกาเคม (ประเทศไทย) ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) ให้แก่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศไทยเป็นหลัก จัดจำหน่ายลักษณะหีบห่อเดิมจากผู้ผลิต (Original package) ซึ่งเป็นเคมีภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนเพิ่มเติม (Additive) ในวัตถุดิบหลักให้เกิดปฏิกริยาเคมีเพื่อสร้างคุณสมบัติพิเศษต่างๆ มักใช้เป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด และมีความหลากหลายสูง
บริษัทมุ่งเน้นในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) สำหรับสารเคมีชนิดพิเศษต่างๆ ให้แก่ลูกค้า ทั้งในด้านการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เลือกและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการทั้งในด้านของคุณสมบัติ และราคา อีกทั้งยังดูแลเรื่องการสั่งซื้อ รวมถึงบริหารจัดการการจัดส่งให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า 1,000 ชนิด ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมพอลีเมอร์ (ซึ่งใช้เคมีภัณฑ์ของบริษัทในการบวนการสร้างพอลีเมอร์ หรือ Polymerization สำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น พลาสติก เรซิ่น กาว หรือเส้นใยสังเคราะห์เป็นต้น) อุตสาหกรรมสี หรืออุตสาหกรรมน้ำยาเคลือบผิวโลหะ เป็นต้น
สำหรับโครงการในอนาคตนั้น บริษัทจะตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ใน กทม. และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง เช่น ชลบุรี และระยอง เป็นต้น บริษัทจึงมีโครงการตั้งสำนักงานสาขาเพิ่มเติมในจังหวัดนครพนม และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เพิ่มขึ้น งบลงทุนสาขาละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมเงินทุนหมุนเวียน คาดว่าจะใช้เวลา 6 เดือน และกำหนดเสร็จสิ้นพร้อมเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 60
ส่วนการตั้งสำนักงานสาขาในเมียนมา และกัมพูชา เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าว มีงบประมาณลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาท รวม 10 ล้านบาท ไม่รวมเงินทุนหมุนเวียน คาดว่าจะใช้เวลาจัดตั้งราว 1 ปี กำหนดเสร็จสิ้นพร้อมเริ่มไตรมาส 1/61
ผลการดำเนินงานช่วงที่ผ่านมา ในปี 58 บริษัทมีรายได้รวม 536.19 ล้านบาท ลดลงจาก 615.54 ล้านบาทในปี 57 และมีกำไรสุทธิ 44.75 ล้านบาท ลดลงจาก 55.67 ล้านบาทในปี 57 โดยรายได้หลักของบริษัทลดลง เนื่องจากการลดลงของยอดขายเคมีภัณฑ์ที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสากรรมสี อุตสาหกรรมพอลีเมอร์ และอุตสาหกรรมหมึกพิมพ์ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทนานาชาติ ได้ทำการเปลี่ยนนโยบายการซื้อสินค้า โดยทำการซื้อผ่านกลุ่มบริษัทของลูกค้าเอง อีกทั้งยังมีลูกค้าบางรายที่ได้ทำการทดลองปรับวิธีการผลิตทำให้ลดการสั่งซื้อเคมีภัณฑ์ของบริษัทน้อยลง ซึ่งในปี 59 ได้กลับมาซื้อเคมีภัณฑ์ของบริษัทตามเดิม
ขณะที่งวด 6 เดือนของปี 59 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 420.92 ล้านบาท หนี้สินรวม 225.27 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 165.65 ล้านบาท รายได้รวม 291.23 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 18.16 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักเพิ่มขึ้น 9.09 ล้านบาท จากในงวดเดียวกันของปี 58 เนื่องจากการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี รายได้อื่นลดลง 74.18% เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน บริษัทมีกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 10.68 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนเท่ากับ 200,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 400,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับหุ้นละ 0.50 บาท โดยปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 150,000,000 บาท และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 200,000,000 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 12 พ.ค.59 คือ นายวิทยา อินาลา ถือหุ้น 150,726,000 หุ้น คิดเป็น 50.24% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 37.68%, บจ.เมกาเคม ถือหุ้น 144,777,000 หุ้น คิดเป็น 48.26% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 36.19%, นางบุษราภรณ์ ประทุมรัตน์ ถือหุ้น 4,497,000 หุ้น คิดเป็น 1.50% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 1.12%
อนึ่ง บจ.เมกาเคม จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประเทศสิงโปร์ (Singapore Exchange-SGX) ประกอบธุรกิจผลิต และจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะบริษัท ภายหลังจากหักภาษี และเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และทุนสำรองอื่น