ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จากสมาร์ทโฟนที่ซัมซุง เชื่อว่าจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนของซัมซุงอย่าง “Samsung Galaxy Note7” แต่ใครจะเชื่อว่า ปัจจุบันกลับกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ส่งผลกระทบกับซัมซุงในทุกๆด้าน จากปัญหาของแบตเตอรี่ที่ส่งผลให้เครื่องที่ใช้งานแบตเตอรี่ล็อตนั้นกว่า 2.5 ล้านเครื่อง มีโอกาสที่จะเกิด “ระเบิด” ซึ่งมีรายงานว่าเกิดเหตุการณ์ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 35 เครื่องจากการเปิดเผยของซัมซุง
ที่สำคัญคือนักวิเคราะห์ในต่างประเทศ ต่างประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์เรียกคืนสินค้าไว้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่หลังจากที่ซัมซุงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ แต่ที่เสียหายหนักกว่านั้นคือมูลค่าหุ้นของซัมซุงที่ร่วงต่ำสุดในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ตีค่าเป็นความเสียหายที่ปรากฏแล้วไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญ
แน่นอนว่า นักวิเคราะห์ต่างเชื่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Note 7 จะกระทบกับซัมซุง ทั้งแง่ยอดขาย ภาพลักษณ์ และชื่อเสียงของบริษัททำให้มีการประเมินว่า ความเสียหายที่ซัมซุง ได้รับนั้น ไม่สามารถประเมินได้จากผลประกอบการในระยะสั้น แต่จะลากยาวไปถึงความเสียหายอื่นที่อาจกินระยะเวลานาน
ไม่นับรวมกับโอกาสทางธุรกิจที่ Note 7 จะสร้างขึ้น ตามกำหนดการเดิมที่จะทยอยวางจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม และค่อยๆเพิ่มประเทศที่จำหน่ายอย่างต่อเนื่องในเดือนกันยายน และตุลาคม ตามกำลังผลิตที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อชิงตัดหน้าการวางจำหน่ายทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ของทางแอปเปิลที่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และจะเริ่มทยอยวางจำหน่ายในช่วงกลางเดือนกันยายน
เพราะในขณะที่ Note 7 ทำให้ซัมซุงกุมขมับ แต่ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ทำให้ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งสวนทางตลาดวอลล์สตรีท โดยราคาหุ้นอยู่ที่ 108.47 ดอลลาร์ พุ่งขึ้น 3.03 ดอลลาร์ หรือ 2.87% หลังยอดจอง iPhone 7 และ iPhone 7 มีมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วถึงเกือบ 4 เท่าหรือ 375% ในช่วง 3 วันแรกที่เปิดจอง
สำหรับจุดเริ่มต้นของ Note 7 ที่เป็นปัญหา จากแถลงการณ์ของซัมซุงระบุว่า จากกรณีของ Galaxy Note 7 ที่ได้รับรายงานเข้ามา ทางซัมซุงได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว และได้พบปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่ ซึ่งจนถึงวันที่ 1 กันยายน มีรายงานในกรณีนี้ทั้งหมด 35 รายทั่วโลก และ ซัมซุงกำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดร่วมกับซัปพลายเออร์ของเราเพื่อให้ มั่นใจว่าไม่มีแบตเตอรี่ที่อาจมีปัญหาหลงเหลืออยู่ในตลาดอีก
สำหรับเหตุการณ์ลุกไหม้ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคือ การนำเครื่องชาร์จทิ้งไว้ในรถยนต์จนเกิดการลุกไหม้ทั้งคันในรัฐฟลอริดา ประเทศ สหรัฐอเมริกา ไม่นับรวมกับเหตุการณ์เครื่องลุกไหม้ขณะชาร์จอีกหลายแห่ง แต่ไม่นับรวมเหตุการณ์สมาร์ทโฟนระเบิดคามือเด็กอายุ 6 ขวบในสหรัฐฯ เนื่องจากตรวจสอบแล้วพบว่าเครื่องดังกล่าวไม่ใช่ Note 7
เบื้องต้นเพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ซัมซุงให้ความสำคัญสูงสุด จึงได้สั่งหยุดการจำหน่าย Galaxy Note 7 ชั่วคราวทั่วโลก โดยลูกค้าในบางประเทศที่ได้ซื้อ Galaxy Note 7 ไปแล้ว ซัมซุงยินดีเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้แทนเครื่องที่ลูกค้าได้รับไปก่อนหน้านี้ โดยจะดำเนินการในช่วงสัปดาห์ต่อๆ ไป
อย่างไรก็ตาม ทางหน่วยงานด้านความปลอดภัยของรัฐบาลแคนาดา ที่ได้มีการร่วมมือกับทางซัมซุงในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว กลับออกมาบอกว่ามีเหตุการณ์ลุกไหม้จาก Galaxy Note 7 ไปแล้วมากกว่า 70 ครั้งในสหรัฐฯ ทำให้ทางหน่วยงานต้องเร่งสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนด้วยการออกประกาศให้ประชาชนที่ซื้อ Note 7 ไปแล้วนำเครื่องมาเปลี่ยนให้เร็วที่สุด
ล่าสุด หน่วยงานเฝ้าระวังด้านคุณภาพสินค้าของจีน จะมีการเรียกคืนสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy Note 7 จำนวน 1,858 เครื่อง หลังจากมีการพบว่าแบตเตอรี่มีปัญหาไฟลุกไหม้ได้ง่าย แม้ว่าก่อนหน้านี้ทางซัมซุง ออกมาระบุว่า สินค้า ที่จำหน่ายในประเทศจีนใช้แบตเตอรี่จากซัปพลายเออร์อีกรายก็ตาม โดย Galaxy Note 7 กลุ่มที่ถูกเรียกคืน เป็นส่วนหนึ่งของล็อตที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนการเริ่มจำหน่ายในวันที่ 1 ก.ย.
ทั้งนี้ ซัมซุงคาดการณ์ว่ามีการจำหน่าย Note 7 ไปแล้วทั่วโลกกว่า 2.5 ล้านเครื่อง ทำให้ต้องมีการเร่งผลิตสินค้าล็อตใหม่ทั้งหมด พร้อมออกแคมเปญรณรงค์ให้ผู้ที่ซื้อเครื่องไปใช้งานแล้วนำเครื่องมาเปลี่ยน แน่นอนว่าปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยถึงจำนวนลูกค้าที่นำเครื่องมาเปลี่ยนไปแล้วทั้งหมดกี่เครื่อง
เพื่อเป็นการป้องกันเหตุที่อาจเกิดการลุกไหม้ของแบตเตอรี่ใน Note 7 อีก ซัมซุง ได้มีการออกเฟิร์มแวร์ที่จะอัปเดตแบบอัตโนมัติไปยังเครื่องทั้งหมดที่ถูกจำหน่ายออกไป ให้ลดความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่ลงเหลืออยู่ที่ 60% ไม่นับรวมกับข่าวลือที่ระบุว่าทางซัมซุง จะสั่งยกเลิกการทำงานของเครื่องในช่วงสิ้นเดือนกันยายน หากผู้ใช้งานยังไม่นำเครื่องมาเปลี่ยน
ขณะที่ในประเทศไทย แม้ว่าเครื่อง Galaxy Note 7 จะยังไม่ถูกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพราะได้มีการเลื่อนส่งมอบสินค้าให้กลุ่มผู้ที่จองสินค้าล่วงหน้าจากวันที่ 2-4 กันยายน ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เช่นเดียวกับการเลื่อนวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาด้วย
แน่นอนว่าจากการเลื่อนส่งมอบสินค้า ทำให้ทางซัมซุง ต้องมีการขยับตัว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้า โดยมีแนวทางในการดูแลลูกค้าทั้งกลุ่มที่จะรอรับสินค้า จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอย่างรับส่วนลดเพิ่มเป็นมูลค่า 2,000 บาท พร้อมรับ Galaxy Note7 Value Pack มูลค่า 3,190 บาท และลูกค้าจะยังคงได้รับของสมนาคุณตามเดิม ส่วนในกรณีที่ลูกค้าต้องการยกเลิก สามารถรับเงินค่ามัดจำคืนจากร้านค้าที่ได้สั่งจองไว้ และรับบัตรกำนัลเงินสดมูลค่า 2,000 บาท ภายในวันที่ 30 กันยายน 2559
พร้อมกับมีการส่งแถลงการณ์รอบ 2 ออกมาย้ำว่า สำหรับประเทศไทย Galaxy Note 7 ที่จะมีการวางจำหน่าย รวมถึงเครื่องที่จะส่งมอบให้ลูกค้าที่ทำการสั่งจองล่วงหน้า (Pre-Booking) นั้น จะเป็นเครื่องล็อตใหม่ที่ผลิตใหม่ทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งหากมีข้อมูลเพิ่มเติมอย่างไร ทางซัมซุงประเทศไทย จะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบ รวมถึงกำหนดการวางจำหน่ายสินค้าใหม่อย่างเป็นทางการโดยเร็วที่สุด
ในแง่ของผลกระทบที่เกิดขึ้น หลายสายการบินทั่วโลก ต่างได้รับการแจ้งเตือนจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอากาศ แจ้งผู้ที่ถือครอง Galaxy Note 7 ห้ามเปิดใช้ ชาร์จ หรือเชื่อมต่อ Galaxy Note 7 เข้ากับระบบความบันเทิงของเครื่องบินในขณะทำการบิน รวมถึงการบรรจุเป็นสัมภาระใต้เครื่อง แต่ยังคงอนุญาตให้ผู้โดยสารพกพา ขึ้นเครื่องได้ตามปกติ
โดยจากการประกาศดังกล่าว ส่งผลให้สายการบินในประเทศไทยทั้ง การบินไทย นกแอร์ แอร์เอเชีย บางกอกแอร์เวย์ส ต่างทำการแจ้งเตือนผู้โดยสารที่อาจจะมีการนำเครื่อง Galaxy Note 7 ที่จำหน่ายจากต่างประเทศเข้ามาใช้งาน ห้ามเปิดใช้ ชาร์จ ตามประกาศของสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการบินของสหภาพยุโรป (EASA)
ไม่ใช่แค่นั้น ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีการส่งหนังสือถึงทางซัมซุงให้ระงับการนำเข้า Galaxy Note 7 ล็อตที่ถูกเรียกคืนเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้วเพื่อความปลอดภัย ซึ่งหลังจากนี้บริษัทสามารถนำ Galaxy Note 7 ล็อตที่ไม่มีปัญหาถูกเรียกคืนเข้ามาจำหน่ายได้
โดยต้องมีผลการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยทางไฟฟ้า มาแสดงกับสำนักงาน กสทช. เพิ่มด้วย พร้อมกันนี้สำนักงาน กสทช. จะได้เร่งประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในการตรวจสอบอุปกรณ์ดังกล่าวต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้ใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่มีคุณภาพ
แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมไทย ให้ความเห็นถึงกรณีดังกล่าวว่า ไทยซัมซุง ควรจะมีมาตรการที่ออกมาเรียกความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคมากกว่าการออกแถลงการณ์จากบริษัทแม่ เพราะผู้บริโภคในประเทศไทยมีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป รวมถึงควรที่หาเรื่องราวจากผลิตภัณฑ์อื่นมาพลิกวิกฤตครั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดขึ้น และลดทอนความรุนแรงของผลกระทบที่จะตามมา
สุดท้ายแล้วการเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมายังถือเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด เพื่อพิสูจน์ว่าซัมซุงยึดถือความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญ