วานนี้ (15ก.ย.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาดำเนินกระบวนการถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง ตาม มาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2557 ประกอบ มาตรา 64 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยเป็นการรับฟังคำแถลงการณ์ปิดสำนวนด้วยวาจาของคณะกรรมกรรมการ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหา และพล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ผู้ถูกกล่าวหา
ทั้งนี้ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช.ได้แถลงข้อกล่าวหาว่า พล.อ.อ.สุกำพล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ ในการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งขัดกับรธน.50 มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (1)(2) รวมถึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ข้อ15 มีมูลส่อว่าจงใจในการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรธน.50 และขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
น.ส.สุภา กล่าวว่า การที่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอ้างว่าการประชุมในวันที่ 17 ส.ค.55 เพื่อแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นการประชุมชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการปรึกษานอกรอบ เป็นคำกล่าวอ้างที่คลาดเคลื่อน เพราะการประชุมเพื่อพิจารณาแต่งตั้งจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2511 มาตรา 25 และการที่อ้างว่า ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นตรงกับ รมว.กลาโหม จึงมีสิทธิเสนอชื่อได้ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมฯข้อที่ 15 เป็นการตีความโดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นการตีความอย่างเลื่อนลอยในเชิงขยายอำนาจ เพื่อมีเจตนาเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการแต่งตั้ง และที่อ้างว่า การพิจารณาตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ไม่มีข้อกฎหมายหรือข้อบังคับใดให้มีบัญชีรายชื่อเป็นบัญชีเดียวกันตั้งแต่การประชุมครั้งแรก แต่การประชุมให้ความเห็นชอบครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 55 ได้มีบัญชีรายชื่อทุกตำแหน่งในบัญชีเดียวกันพิจารณาพร้อมกันนั้น โดยข้อเท็จจริงการที่ พล.อ.อ.สุกำพล เสนอชื่อเพียงชื่อเดียวโดยไม่มีรายชื่อนายทหารชั้นนายพลรายอื่นเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียม หรือแนวทางที่เคยปฏิบัติ และไม่มีเหตุผลข้อเท็จจริงใดรองรับ
การกระทำของ พล.อ.อ.สุกำพล ในการแต่งตั้ง พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผบ.ทบ. เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนอย่างมีสาระสำคัญและขัดต่อ พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงโหมฯ ชี้ให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดแจ้งว่า ได้ใช้สถานะ หรือตำแหน่งรัฐมนตรี ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม โดยจากที่ พล.อ.อ. สุกำพล ระบุว่า “ถ้าไม่แทรกแซงล้วงลูกเลย ก็ไม่ต้องเป็นรมว.กลาโหมเลยดีกว่า” ไม่อาจตีความหรือวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ กรณีนี้ยิ่งกว่าคดีของ นายประชา ประสพดี อดีต รมช.มหาดไทย ที่เข้าไปแทรกแซงการตั้ง ผอ.องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นจุดเล็กๆ แต่ พล.อ.สุกำพล เข้าไปแทรกแซงรั้วของชาติ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบราชการ การเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงย่อมให้เกิดปัญหาให้ฝ่ายการเมืองมาแทรกแซงไม่จบสิ้นเหมือนในอดีต ทำให้ข้าราชการประจำวิ่งเข้าหานักการเมืองเพื่อตำแหน่ง เพื่อความก้าวหน้า
"รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศหมดความศักดิ์สิทธิ์ และทำลายความน่าเชื่อถือ และศรัทธาของประชาชนที่ให้การสนับสนุนมาบริหารประเทศ ประกอบกับกระทรวงกลาโหม มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญคือ การพิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอกราชอาณาจักร หากปล่อยปละละเลยให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้สถานะของตนเองเข้าไปดำเนินการดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดความอ่อนแอในการบังคับบัญชา แตกความสามัคคีในคณะทหาร ซึ่งระบบการแต่งตั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ดีต้องล่มสลาย ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ของข้าราชการทหารต้องเสื่อมถอยลง และต้องเสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้นแม้ พล.อ.อ.สุกำพล จะได้พ้นตำแหน่งไปแล้ว ก็สมควรที่ สนช.จะใช้ดุลนิจ ลงมติถอดถอนเพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และป้องกันไม่ให้ พล.อ.อ.สุกำพล กลับเข้ามีอำนาจ หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดอื่นในหน่วยงานของรัฐได้อีก" น.ส.สุภา ระบุ
ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 และข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งทหารชั้นนายพล พ.ศ.2551 และแบบธรรมเนียมปฏิบัติของกระทรวงกลาโหมทุกขั้นตอน มีการนัดประชุม มีกรอบเวลาในการทำงาน มีองค์ประชุมครบ โดยมีการจัดประชุม 2 ครั้ง โดยครั้งแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมเพียงตำแหน่งเดียว ซึ่งส่วนได้เสนอชื่อ พล.อ.ทนงศักดิ์ ต่อที่ประชุมร่วมกับ พล.อ.ชาตรี ทัตติ ขอยืนยันว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ ไม่ใช่รุ่นเดียวกับตน แต่เป็นรุ่นน้องหนึ่งปี ส่วนสาเหตุที่ไม่ใช่ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เข้ามาร่วมการประชุมด้วย เพราะ พล.อ.พิณภาษณ์ เป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการเท่านั้น มีหน้าที่จดบันทึกการประชุมอย่างเดียว ไม่มีสิทธิออกเสียงทั้งสิ้น ประกอบกับตนเองต้องการรักษาความลับ อีกทั้งการประชุมครั้งนี้ มีแค่วาระเดียวเท่านั้น สามารถจำเอาก็ได้ ไม่ต้องจดบันทึกการประชุมผลการพิจารณาในครั้งนั้น ผู้บัญชาทหารสูงสุด คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารเรือ คือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ และ ผม รวม 4 คน มีมติเลือก พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม มีเพียง พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ คนเดียวที่เสนอชื่อ พล.อ.ชาตรี ประเด็นสำคัญ คือ การได้มาซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น จากการลงมติเป็นการถามทีละคน ส่วนการประชุมครั้งที่สอง เป็น
การพิจารณาโยกย้ายนายทหารทุกหน่วยราชการ 811 คน ทุกรายชื่อได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง โดยมีการพิจารณาคณะกรรมการของแต่ละส่วนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหมทั้งหมด และกรรมการตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่เข้าร่วมประชุมซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนได้เห็นชอบและร่วมลงนามทั้งหมด
"ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า เป็นการประชุมที่ถูกต้องทุกประการ สิ่งที่สำคัญคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ให้การยืนยันกับคณะกรรมการไต่สวนของป.ป.ช. เป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันว่าเป็นการประชุมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และข้อบังคับทุกประการ แต่ป.ป.ช. ละเลยที่จะพิจารณาคำชี้แจงของท่านทั้งหลายเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ลายลักษณ์อักษรที่เขาตอบมานั้น เป็นช่วงที่ผมออกจากตำแหน่ง รมว.กลาโหมแล้ว"
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวด้วยว่า การที่คณะกรรมการป.ป.ช.โดยเสียงข้างมาก ละเลยไม่พิจารณาคำยืนยันของส่วนราชการในกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย สำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม กรมเสมียนตรา และกรมพระธรรมนูญ ที่ยืนยันตรงกันว่า รมว.กลาโหม เป็นผู้บังคับบัญชาของปลัดกระทรวงกลาโหม ดังนั้น ปลัดกระทรวงกลาโหม จึงเป็นนายทหารชั้นนายพล ที่ขึ้นตรงกับรมว.กลาโหม โดยรัฐมนตรีมีอำนาจเสนอบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ต่อที่ประชุมคณะกรรมการการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ของกระทรวงกลาโหมได้
จากนั้น นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ในฐานะประธานที่ประชุม ได้นัดที่ประชุม สนช. ประชุมเพื่อพิจารณาว่า จะลงมติถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพลหรือไม่ในวันที่ 16 ก.ย. ซึ่งการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 กำหนดให้ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกสนช. เท่าที่มีอยู่ หรือ 131 คน จากสมาชิกสนช. ที่มีอยู่ 217 คน
ทั้งนี้ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช.ได้แถลงข้อกล่าวหาว่า พล.อ.อ.สุกำพล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ ในการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งขัดกับรธน.50 มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (1)(2) รวมถึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ข้อ15 มีมูลส่อว่าจงใจในการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรธน.50 และขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
น.ส.สุภา กล่าวว่า การที่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอ้างว่าการประชุมในวันที่ 17 ส.ค.55 เพื่อแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นการประชุมชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการปรึกษานอกรอบ เป็นคำกล่าวอ้างที่คลาดเคลื่อน เพราะการประชุมเพื่อพิจารณาแต่งตั้งจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2511 มาตรา 25 และการที่อ้างว่า ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นตรงกับ รมว.กลาโหม จึงมีสิทธิเสนอชื่อได้ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมฯข้อที่ 15 เป็นการตีความโดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นการตีความอย่างเลื่อนลอยในเชิงขยายอำนาจ เพื่อมีเจตนาเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการแต่งตั้ง และที่อ้างว่า การพิจารณาตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ไม่มีข้อกฎหมายหรือข้อบังคับใดให้มีบัญชีรายชื่อเป็นบัญชีเดียวกันตั้งแต่การประชุมครั้งแรก แต่การประชุมให้ความเห็นชอบครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 55 ได้มีบัญชีรายชื่อทุกตำแหน่งในบัญชีเดียวกันพิจารณาพร้อมกันนั้น โดยข้อเท็จจริงการที่ พล.อ.อ.สุกำพล เสนอชื่อเพียงชื่อเดียวโดยไม่มีรายชื่อนายทหารชั้นนายพลรายอื่นเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียม หรือแนวทางที่เคยปฏิบัติ และไม่มีเหตุผลข้อเท็จจริงใดรองรับ
การกระทำของ พล.อ.อ.สุกำพล ในการแต่งตั้ง พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผบ.ทบ. เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนอย่างมีสาระสำคัญและขัดต่อ พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงโหมฯ ชี้ให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดแจ้งว่า ได้ใช้สถานะ หรือตำแหน่งรัฐมนตรี ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม โดยจากที่ พล.อ.อ. สุกำพล ระบุว่า “ถ้าไม่แทรกแซงล้วงลูกเลย ก็ไม่ต้องเป็นรมว.กลาโหมเลยดีกว่า” ไม่อาจตีความหรือวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ กรณีนี้ยิ่งกว่าคดีของ นายประชา ประสพดี อดีต รมช.มหาดไทย ที่เข้าไปแทรกแซงการตั้ง ผอ.องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นจุดเล็กๆ แต่ พล.อ.สุกำพล เข้าไปแทรกแซงรั้วของชาติ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบราชการ การเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงย่อมให้เกิดปัญหาให้ฝ่ายการเมืองมาแทรกแซงไม่จบสิ้นเหมือนในอดีต ทำให้ข้าราชการประจำวิ่งเข้าหานักการเมืองเพื่อตำแหน่ง เพื่อความก้าวหน้า
"รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศหมดความศักดิ์สิทธิ์ และทำลายความน่าเชื่อถือ และศรัทธาของประชาชนที่ให้การสนับสนุนมาบริหารประเทศ ประกอบกับกระทรวงกลาโหม มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญคือ การพิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอกราชอาณาจักร หากปล่อยปละละเลยให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้สถานะของตนเองเข้าไปดำเนินการดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดความอ่อนแอในการบังคับบัญชา แตกความสามัคคีในคณะทหาร ซึ่งระบบการแต่งตั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ดีต้องล่มสลาย ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ของข้าราชการทหารต้องเสื่อมถอยลง และต้องเสื่อมประสิทธิภาพ ดังนั้นแม้ พล.อ.อ.สุกำพล จะได้พ้นตำแหน่งไปแล้ว ก็สมควรที่ สนช.จะใช้ดุลนิจ ลงมติถอดถอนเพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และป้องกันไม่ให้ พล.อ.อ.สุกำพล กลับเข้ามีอำนาจ หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดอื่นในหน่วยงานของรัฐได้อีก" น.ส.สุภา ระบุ
ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 และข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งทหารชั้นนายพล พ.ศ.2551 และแบบธรรมเนียมปฏิบัติของกระทรวงกลาโหมทุกขั้นตอน มีการนัดประชุม มีกรอบเวลาในการทำงาน มีองค์ประชุมครบ โดยมีการจัดประชุม 2 ครั้ง โดยครั้งแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมเพียงตำแหน่งเดียว ซึ่งส่วนได้เสนอชื่อ พล.อ.ทนงศักดิ์ ต่อที่ประชุมร่วมกับ พล.อ.ชาตรี ทัตติ ขอยืนยันว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ ไม่ใช่รุ่นเดียวกับตน แต่เป็นรุ่นน้องหนึ่งปี ส่วนสาเหตุที่ไม่ใช่ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เข้ามาร่วมการประชุมด้วย เพราะ พล.อ.พิณภาษณ์ เป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการเท่านั้น มีหน้าที่จดบันทึกการประชุมอย่างเดียว ไม่มีสิทธิออกเสียงทั้งสิ้น ประกอบกับตนเองต้องการรักษาความลับ อีกทั้งการประชุมครั้งนี้ มีแค่วาระเดียวเท่านั้น สามารถจำเอาก็ได้ ไม่ต้องจดบันทึกการประชุมผลการพิจารณาในครั้งนั้น ผู้บัญชาทหารสูงสุด คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารเรือ คือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ และ ผม รวม 4 คน มีมติเลือก พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม มีเพียง พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ คนเดียวที่เสนอชื่อ พล.อ.ชาตรี ประเด็นสำคัญ คือ การได้มาซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น จากการลงมติเป็นการถามทีละคน ส่วนการประชุมครั้งที่สอง เป็น
การพิจารณาโยกย้ายนายทหารทุกหน่วยราชการ 811 คน ทุกรายชื่อได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง โดยมีการพิจารณาคณะกรรมการของแต่ละส่วนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหมทั้งหมด และกรรมการตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ที่เข้าร่วมประชุมซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนได้เห็นชอบและร่วมลงนามทั้งหมด
"ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า เป็นการประชุมที่ถูกต้องทุกประการ สิ่งที่สำคัญคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ให้การยืนยันกับคณะกรรมการไต่สวนของป.ป.ช. เป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันว่าเป็นการประชุมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และข้อบังคับทุกประการ แต่ป.ป.ช. ละเลยที่จะพิจารณาคำชี้แจงของท่านทั้งหลายเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ลายลักษณ์อักษรที่เขาตอบมานั้น เป็นช่วงที่ผมออกจากตำแหน่ง รมว.กลาโหมแล้ว"
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวด้วยว่า การที่คณะกรรมการป.ป.ช.โดยเสียงข้างมาก ละเลยไม่พิจารณาคำยืนยันของส่วนราชการในกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย สำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม กรมเสมียนตรา และกรมพระธรรมนูญ ที่ยืนยันตรงกันว่า รมว.กลาโหม เป็นผู้บังคับบัญชาของปลัดกระทรวงกลาโหม ดังนั้น ปลัดกระทรวงกลาโหม จึงเป็นนายทหารชั้นนายพล ที่ขึ้นตรงกับรมว.กลาโหม โดยรัฐมนตรีมีอำนาจเสนอบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ต่อที่ประชุมคณะกรรมการการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ของกระทรวงกลาโหมได้
จากนั้น นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ในฐานะประธานที่ประชุม ได้นัดที่ประชุม สนช. ประชุมเพื่อพิจารณาว่า จะลงมติถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพลหรือไม่ในวันที่ 16 ก.ย. ซึ่งการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 กำหนดให้ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกสนช. เท่าที่มีอยู่ หรือ 131 คน จากสมาชิกสนช. ที่มีอยู่ 217 คน