xs
xsm
sm
md
lg

ปลดล็อกศาลทหารตอบคำถามสิทธิมนุษยชน ลดเงื่อนไข โอบามา-ยูเอ็น !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**ตามกำหนดการที่ออกมาจากสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีการแถลงและเปิดเผยให้ทราบ จะเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ระหว่างวันที่ 18-24 กันยายน ที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีกำหนดการที่น่าสนใจพ่วงเข้ามาพร้อมๆกัน นั่นคือ การประชุมสุดยอดระดับผู้นำในด้านผู้ลี้ภัย ซึ่งมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เป็นผูัริเริ่ม และเป็นเจ้าภาพร่วมกับ บัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งมีวาระที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยดังกล่าวนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก มีผู้นำประเทศเข้าร่วมประมาณ 30-40 ประเทศ และ โอบามา เป็น"ผู้เชิญ" ผู้นำประเทศที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น
หากพิจารณาจากกำหนดการและวาระการประชุมสุดยอดดังกล่าวข้างต้น บางทีมันก็อาจเป็นคำตอบออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนไปแล้วแบบไม่ต้องมาอธิบายชี้แจงให้เสียเวลา
แน่นอนว่าการคลายกฎเหล็กจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 55/2559 ที่เกี่ยวกับการโอนคดีที่พลเรือนกระทำผิด หลังวันที่ 12 กันยายน ให้ไปขึ้นศาลยุติธรรมปกติ แทนที่ศาลทหาร สาเหตุหลักย่อมมาจากเหตุผลที่อ้างในคำสั่ง นั่นคือมาจากสถานการณ์ที่เริ่มสงบเรียบร้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ซึ่งในความหมายข้างในก็คือ "ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างมั่นคง" แล้วนั่นเอง
**ในความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ คำสั่ง คสช.ในครั้งนี้ไม่ได้มีผลย้อนหลัง นั่นคือ คดีความมั่นคง และความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกิดก่อนวันที่ 12 กันยายน 59 ลงไปถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 57 ที่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกิดขึ้นแล้ว ก็ยังต้องขึ้นศาลทหารเหมือนเดิม รวมไปถึงคำสั่งที่ให้อำนาจทหารในตรวจค้น จับกุมควบคุมตัวก็ยังคงอยู่ หรือแม้แต่คำว่า หากสถานการณ์กลับมาเหมือนเดิมก็จะย้อนกลับมาขึ้นศาลทหารอีก
แต่ในภาพรวมการโยกให้ไปขึ้นศาลยุติธรรมปกติ มันก็ลดความเข้มข้นลงไปมาก โดยเฉพาะภาพลักษณ์ในสายตาของนานาชาติ เช่น พวกตะวันตก ก็จะลดเงื่อนไขในเรื่องสิทธิมนุษยชนลงไปได้ไม่น้อย ซึ่งตามกำหนดการที่มีการเปิดเผยก็คือ ในการเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติสมัยสามัญคราวนี้ ก็มีวาระเรื่องการประชุมเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนด้วย
อีกทั้งคราวนี้มีการประชุมสุดยอดร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา มีการเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้าร่วมประชุมเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาจะไม่มีการหารือกันโดยตรง แต่จะออกมาเป็นแบบประชุมกลุ่ม เช่น ประชุมสุดยอดอาเซียน หรือที่เพิ่งผ่านไปคือการประชุมกลุ่ม จี 20 อย่างมากก็ได้แค่จับมือถ่ายรูปหมู่ ไม่เคยได้ถกแบบทวิภาคี อันเนื่องจากสหรัฐฯ ได้ลดระดับความสัมพันธ์กับไทยแบบอัตโนมัติ เพราะเป็นรัฐบาลมาจากรัฐประหาร แม้ว่าใจจริงอยากจะคงความสัมพันธ์ใจจะขาด เพื่อการแข่งขันด้านยุทธศาสตร์ในภูภาคที่ไทยเป็นประเทศสำคัญก็ตาม
ที่ผ่านมาฝ่ายสหรัฐฯ และประเทศยุโรปตะวันตกอื่นๆ พยายามกดดันยื่นเงื่อนไขในเรื่องให้ผ่อนคลายเรื่องสิทธิมนุษยชนลง ซึ่งหากสังเกตจะพบว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการผ่อนคลายลงมาเรื่อยๆ เริ่มจากในปีก่อน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ หากจำกันได้ก็มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางออกประเทศของบุคคลบางกลุ่ม ยกเว้นคนที่มีคดีต้องร้องขออนุญาตจากศาลเสียก่อน แม้ว่าครั้งนั้นจะเป็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่ก็พอเห็นได้เหมือนกันว่า เริ่มผ่อนคลายและลดเงื่อนไขการตอบคำถามลงได้บ้างเหมือนกัน
ขณะเดียวกัน เมื่อมองกันในทางการเมืองแบบ"เกมยาว"ในอนาคตแล้วฟังจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ย้ำว่าเป็นการผ่อนคลายให้เป็นปกติมากที่สุดเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ทำให้กฎหมายเป็นสากลให้ได้รับการยอมรับ ซึ่งเวลานี้ทุกประเทศยอมรับและมีความสัมพันธ์ที่มี มีความยินดีเข้ามาลงทุน มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ "ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง" ซึ่งก็ยอมรับ
ดังนั้นในทางการเมืองระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงกับภายในประเทศมันก็เหมือนมีสัญญาณใหม่เกิดขึ้นจากฝ่ายสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน ในเรื่องของความพยายามปรับความสัมพันธ์ใหม่กับไทย เริ่มจากการเชิญผู้นำ คสช.เข้าร่วมประชุมที่สหรัฐฯ ซึ่งฝ่ายไทยก็ตอบสนองในเรื่องการผ่อนคลายเหล็กในเรื่องศาลทหาร อย่างน้อยเป็นการลดเงื่อนไขเพื่อใหัอีกฝ่ายยื่นมือมาจับได้แบบไม่เสียหน้า แม้ว่ายังมีอีกเงื่อนไขสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ในเมื่อมีการปูทางเอาไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญใหม่ ที่นายกฯมาจากการโหวตในรัฐสภา มันก็เป็นทางออกสำหรับ"เกมยาว"ในอนาคตได้อยู่แล้ว
**ถึงตอนนั้นก็ราบรื่น สหรัฐฯก็จะกลับเข้ามาถ่วงดุลกับจีน รัสเซีย และไทยก็จะต่อรองได้ได้มากกว่าเดิม !!
กำลังโหลดความคิดเห็น