นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงความคืบหน้าในการติดตามปัญหาการทุจริตในการประปาส่วนภูมิภาคว่า หลังจากที่ตนได้แถลงข่าวไปรมว.มหาดไทยได้เรียกผู้ว่าการประปาฯไปพบเพื่อชี้แจง และตนได้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบกรณีการจัดซื้อคลอรีนเหลว และการวางท่อประปาไปแล้ว โดยจะทยอยยื่นอีกสัปดาห์ละเรื่อง ซึ่งมีทั้งหมดกว่า 20 เรื่อง และขอเรียกร้องไปยังสหภาพการประปาส่วนภูมิภาค ที่มีการออกแถลงการณ์จะรักษาองค์กรร่วมมือในการปราบปรามทุจริต แต่มีการระบุว่าตนเป็นผู้ประโคมข่าว ซึ่งต้องชี้แจงว่า ตนไม่ได้ประโคมข่าว แต่กล่าวหาจากข้อเท็จจริงไม่มีเจตนาร้ายต่อการประปาส่วนภูมิภาค หรือรังเกียจบุคคลใดบุคคลหนึ่งทั้งสิ้น แต่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ จึงอยากให้สหภาพฯ ได้รับทราบ ทั้งนี้ทุกเรื่องที่ตนแถลงข่าวก็พร้อมที่จะออกรายการกับผู้บริหารการประปาฯ หรือใครก็ได้ที่ทำงานในองค์กรดังกล่าว เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหา และหากคิดว่าสิ่งที่ตนแถลงไปละเมิด หรือกล่าวเท็จขอให้ดำเนินคดีได้ ตนพร้อมที่จะสู้ทุกคดี
"ผมคิดว่าสาเหตุที่มีการออกแถลงการณ์ของสหภาพฯ มาจากกรณีที่การประปาส่วนภูมิภาคสาขาต่างๆ เอามิเตอร์ที่มีแกนมาตรทองเหลืองไปขาย โดยไม่ลงบัญชีเกือบทุกสาขาเพราะเกี่ยวพันกับคนส่วนใหญ่ในองค์กร จึงขอเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ เพราะทำได้ง่ายๆ ด้วยการไปดูช่วงปี 52-57 มีการเปลี่ยนมิเตอร์เป็นท่อพีอี เท่าไหร่ ก็จะต้องมีแกนทองเหลืองกลับมาเท่านั้น หากไม่มีการขายไป ก็ต้องมีของเดิมเปลี่ยนกลับมาเป็นบัญชีคงเหลือ และไปดูบัญชีว่ามีการโอนเข้าผู้จัดการสาขาต่างๆ ของการประปาส่วนภูมิภาคหรือไม่ ขอให้สหภาพฯไปตรวจสอบซึ่งเชื่อว่าไม่เกิน 30 สิบวัน ก็จะรับทราบและขอให้ประโคมข่าวออกมาด้วยว่าใครโกง ใครทุจริต องค์กรจะได้มีความโปร่งใส หากตรวจสอบอย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าจะมีผู้จัดการสาขาฯเกินครึ่งที่ต้องเข้าคุก" นายวิลาศ กล่าวย้ำ
"ผมคิดว่าสาเหตุที่มีการออกแถลงการณ์ของสหภาพฯ มาจากกรณีที่การประปาส่วนภูมิภาคสาขาต่างๆ เอามิเตอร์ที่มีแกนมาตรทองเหลืองไปขาย โดยไม่ลงบัญชีเกือบทุกสาขาเพราะเกี่ยวพันกับคนส่วนใหญ่ในองค์กร จึงขอเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ เพราะทำได้ง่ายๆ ด้วยการไปดูช่วงปี 52-57 มีการเปลี่ยนมิเตอร์เป็นท่อพีอี เท่าไหร่ ก็จะต้องมีแกนทองเหลืองกลับมาเท่านั้น หากไม่มีการขายไป ก็ต้องมีของเดิมเปลี่ยนกลับมาเป็นบัญชีคงเหลือ และไปดูบัญชีว่ามีการโอนเข้าผู้จัดการสาขาต่างๆ ของการประปาส่วนภูมิภาคหรือไม่ ขอให้สหภาพฯไปตรวจสอบซึ่งเชื่อว่าไม่เกิน 30 สิบวัน ก็จะรับทราบและขอให้ประโคมข่าวออกมาด้วยว่าใครโกง ใครทุจริต องค์กรจะได้มีความโปร่งใส หากตรวจสอบอย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าจะมีผู้จัดการสาขาฯเกินครึ่งที่ต้องเข้าคุก" นายวิลาศ กล่าวย้ำ