ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ใครจะไปเชื่อว่า “ถุงเท้า 1 คู่” จะถูกใช้เป็นอุปกรณ์ “ฆ่าตัวตาย” ของ “นายธวัชชัย อนุกูล” อดีตข้าราชการระดับ 7 สำนักงานที่ดินจ.ภูเก็ต และอดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงาสาขาท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา คาห้องคุมขังของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้
ยิ่งเมื่อย้อนดูคดีความที่นายธวัชชัยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้วก็ยิ่งชวนสงสัยเข้าไปอีกว่า นี่เป็น “การจัดฉากฆาตกรรมอำพราง” หรือไม่ เพราะมีความเกี่ยวพันกับคดีฉาวโฉ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมเกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์” มหาศาล รวมถึง “ผู้คน” อีกจำนวนไม่น้อยที่จะต้องได้รับผลกรรมจากการจับกุมนายธวัชชัยได้
ฆ่าตัวตายเพราะความเครียดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่การฆาตกรรมอำพราง ตลอดรวมถึงเสียชีวิตเพราะถูกซ้อมก็เป็นไปได้เช่นกัน
และสมมติว่า ถ้าเป็นการฆาตกรรมจริงๆ เพราะผลการผ่าศพมีความชัดเจนแล้วว่า “ตับแตก” จากการถูกของแข็งกระแทก ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
นี่คือ CONSPIRACY ที่จะต้องค้นหาความจริง
กล่าวสำหรับนายธวัชชัยนั้นเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีพิเศษที่ 44/2558 ของสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
นายธวัชชัยอยู่ระหว่างควบคุมตัวของดีเอสไอเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เพื่อรอนำตัวไปขออำนาจฝากขังที่ศาลอาญาในช่วงเช้าของวันที่ 30 สิงหาคม 2559 แต่ปรากฏว่าได้เสียชีวิตลงอย่างมีเงื่อนงำและสร้างความคลางแคลงใจให้กับสังคมเป็นอย่างมาก
ดีเอสไอชี้แจงว่า นายธวัชชัยมีอาการเครียดและวิตกกังวลเป็นอย่างมากเมื่อถูกคุมขัง รวมทั้งรับประทานอาหารได้น้อย และเดินไปมาในห้องควบคุมที่มีประตูเป็นกระจกใส
ดีเอสไอชี้แจงว่า นายธวัชชัยนอนไม่หลับและขอให้ปิดไฟห้องควบคุม แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธเพราะตามระเบียบไม่สามารถกระทำได้
ดีเอสไอชี้แจงว่า เวลาประมาณตีสอง เจ้าหน้าที่ได้เดินกลับมาตรวจหน้าห้องควบคุมและพบว่าผู้ต้องหานั่งหันหลังพิงประตู จึงได้เคาะประตูเรียก แต่ผู้ต้องหาไม่ตอบ จึงรีบเปิดประตูเข้าไปและพบว่าผู้ต้องหาใช้ถุงเท้ายาวผูกคอตัวเองกับขอบบานพับประตูห้องควบคุม แต่ยังมีลมหายใจอยู่ เจ้าหน้าที่จึงพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิตและรีบนำสั่งโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ แต่ผู้ต้องหาได้เสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
ดีเอสไอชี้แจงว่า ขณะควบคุมตัวมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ 3 คน และภายในห้องไม่มีกล้องวงจรปิด
และดีเอสไอชี้แจงว่า ห้องคุมขังเป็นห้องแอร์ทำให้อากาศหนาว ผู้ต้องขังจึงสวมถุงเท้า ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นอุปกรณ์ในการผูกคอตาย
จริงหรือ? นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้น
และเรื่องก็ลุกลามบานปลายกลายเป็น CONSPIRACY หนักเข้าไปอีกเมื่อสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลตำรวจ สรุปผลการตรวจชันสูตรศพของนายธวัชชัยเอาไว้ว่า ผู้ต้องหาเสียชีวิตจากอาการเลือดออกในช่องท้อง ตับแตกจากการถูกของแข็งไม่มีคมกระแทก ร่วมกับการขาดอากาศหายใจจากการผูกคอตาย
ซ้ำร้ายนายชัยณรงค์ อนุกูล น้องชายของนายธวัชชัยก็ให้ข้อมูลด้วยว่า รปภ.ของดีเอสไอให้ข้อมูลในตอนแรกว่า พี่ชายใช้เชือกจากชายเสื้อผูกคอตัวเอง แต่ในขณะที่แถลงข่าวกลับบอกว่าใช้ถุงเท้าผูกคอ ทว่า จากสภาพที่เห็นบาดแผลที่ลำคอมีรอยแดงขนาดเล็กมากเกือบมองไม่เห็น ซึ่งไม่เป็นผลมาจากทั้งชายเสื้อและถุงเท้า แต่อาจเป็นรอยที่เกิดจากเชือกหรือลวด
กรณีตับแตกนั้น ดีเอสไอพยายามอธิบายว่า มีโอกาสที่ทำให้เกิดตับแตกจากกรณีกดทับหลายครั้งเพื่อปั๊มหัวใจในช่วงที่พบว่านายธวัชชัยพยายามฆ่าตัวตายและเจ้าหน้าที่พยายามเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนก่อนนำส่ง รพ.มงกุฎวัฒนะหรือไม่ พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้มีเหตุทำร้ายผู้ต้องหาอย่างแน่นอน
ทว่า ดูเหมือนคำอธิบายเชิงแก้ตัวของดีเอสไอจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะใช้แค่สามัญสำนึกหรือความรู้พื้นฐานก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะตับแตกตายจากการปั๊มหัวใจ เพราะตำแหน่งของหัวใจกับตับนั้นอยู่คนละตำแหน่งกัน
และตอกย้ำกันอีกครั้งเมื่อ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เปิดเผยรายละเอียดว่า เวลา 01.15 น. วันที่ 30 ส.ค. หน่วยฉุกเฉินโรงพยาบาลได้รับแจ้งจากดีเอสไอว่ามีผู้ป่วยหมดสติขอให้จัดชุดแพทย์ไปช่วย โรงพยาบาลจึงจัดเจ้าหน้าที่ชุดฉุกเฉินไป พบว่านายธวัชชัยอยู่ในสภาพที่วิกฤตอย่างรุนแรงมากใกล้เสียชีวิตแต่ยังไม่ตาย เจ้าหน้าที่จึงใช้วิธี CPR การปั๊มหัวใจให้ความช่วยเหลือลำดับแรกก่อนนำส่งโรงพยาบาลโดยไม่ได้ตรวจสอบว่าร่างกายผู้ป่วยมีร่องรอยฟกช้ำ หรือบาดแผลที่ร่างกาย ขณะที่มาถึงโรงพยาบาลก็ ยังมีการปั๊มหัวใจอยู่ตลอดโดยยังมีการใส่ท่อหายใจ ผู้ป่วยมีอาการหายใจหยุดเต้นในบางช่วงจึงได้ทำการปั๊มหัวใจซึ่งจะเป็นเช่นนี้สลับกัน กระทั่งเวลา 02.00 น. จึงได้ย้ายผู้ป่วยไปยังห้อง ICU โดยยังมีอาการวิกฤตก็ต้องปั๊มหัวใจ จนเวลา 04.45 น.ผู้ป่วยก็ได้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจึงได้มารับศพไป วันรุ่งขึ้นตนเองก็มาทราบภายหลังว่านายธวัชชัยตับแตก มีเลือดออกในช่องท้อง และขาดอากาศหายใจทำให้เสียชีวิต
ทั้งนี้ การทำ CPR อยู่ในบริเวณทรวงอกที่มีอวัยวะหัวใจและปอด โดยทางเทคนิคนั้นไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับตับ และไม่เคยได้ยินการทำ CPR แล้วจะทำให้ตับแตก เปอร์เซ็นต์จะเท่ากับศูนย์ จึงต้องสอบถามกับนิติเวชที่ผ่าพิสูจน์ศพว่าสาเหตุที่ตับแตกเกิดจากอะไร หรือสงสัยอย่างไร สาเหตุที่ทำให้ตับแตกมีหลายประการ โดยลักษณะของตับแตกจะมีเลือดไหลซึมออกมาจากตับที่อาจโดนกระแทก แต่ไม่จำเป็นว่าต้องมีบาดแผลภายนอกตามร่างกาย กรณีนี้เป็นที่สนใจของสังคม ดังนั้นดีเอสไอต้องตอบคำถาม
“ยืนยันว่าทางโรงพยาบาลไม่ได้ปั๊มหัวใจจนตับแตก แต่ไม่ทราบว่าก่อนที่เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินโรงพยาบาลจะไปถึงตัวผู้ป่วย มีใครปั๊มหัวใจก่อนหรือไม่ โดยระหว่างการนำตัวนายธวัชชัยมาโรงพยาบาลก็มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอตามมาดูอาการด้วย แต่ไม่มีข้อพิรุธอะไร และหลังจากเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ตามมาสอบถามข้อเท็จจริง โดยโรงพยาบาลไม่ได้ตบแต่งข้อเท็จจริงและไม่ยอมให้ใครทำด้วย” พล.ต.นพ.เหรียญทองกล่าว
ปมประเด็นปัญหาจึงยิ่งเขม็งเกลียวเข้าไปอีกว่า นายธวัชชัยเสียชีวิตเพราะอะไร ฆ่าตัวตาย หรือฆาตกรรม และถ้าฆาตกรรมใครเป็นคนทำ เนื่องเพราะคดีที่นายธวัชชัยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องนั้นเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ก้อนมหึมา รวมทั้งเกี่ยวพันกับ “ผู้มีอิทธิพล” เกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้
ทั้งนี้ นายธวัชชัยถูกไล่ออกจากราชการเมื่อปี 2546 และได้หลบหนีคดีหลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพิเศษร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนทั้งสิ้น 6 รายหลังบุกรุก “อุทยานแห่งชาติสิรินาถ” จ.ภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ มูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท โดยออกเอกสารสิทธิมิชอบ นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ นายธวัชชัย อนุกูล เคยถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาแล้วหลายคดี ถือว่านายธวัชชัยเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบมากที่สุด ทั้งในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จ.พังงา และ จ.สุราษฎร์ธานี เช่น คดีที่ดินเขาหน้ายักษ์ ซึ่งทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาลำปี จำนวน 500 ไร่ ราคาประเมินของกรมที่ดินไร่ละ 21 ล้านบาท มูลค่าทั้งสิ้น 10,500 ล้านบาท เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคหบดีในพื้นที่ จ.พังงาและ จ.ภูเก็ต
เห็นคดีความที่นายธวัชชัยเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วต้องบอกว่าไม่ธรรมดา และแน่นอนว่า คดีลักษณะนี้ย่อมเกี่ยวกับบุคคลที่ต้องใช้คำว่า “ผู้กว้างขวาง” หรือ “ผู้มีอิทธิพล” และเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีอันจะกิน แถมถ้าสืบสาวราวเรื่องไปจนถึงที่สุดแล้วอาจเกี่ยวข้องกับ “บิ๊ก” ในแวดวงราชการที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกเป็นจำนวนมิใช่น้อย
ไล่เรื่อยมาทีละคดีก็จะเห็นผลประโยชน์และตัวละครที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
คดีแรก คดีที่ดินเขาหน้ายักษ์ ซึ่งทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาลำปี จำนวน 500 ไร่ มูลค่า 10,500 ล้านบาท
ดินแปลงนี้ นายธวัชชัย เป็นผู้ลงนาม น.ส.3 ก. จำนวน 500 ไร่ ราคาประเมิน กรมที่ดิน ไร่ละ 21 ล้านบาท พื้นที่จากริมทะเลถึงริมคลอง ในพื้นที่อำเภอท้ายเหมือง จ.พังงา ทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาลำปี โดยอ้างสิทธิ์การครอบครองที่ดินจากอดีตนักการเมือง แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวน พบว่า เป็นการว่าจ้างชาวบ้านอำเภอท้ายเหมือง จ.พังงา จำนวน 12 ราย ให้ครอบครองและเมื่อพนักงานสอบสวนพบว่าชาวบ้านทั้ง 12 ราย ถูกภรรยานายช่างรังวัด คนหนึ่งของกรมที่ดิน เป็นผู้ว่าจ้าง โดยภรรยานายช่างคนดังกล่าว รับเงินจากผู้ว่าจ้าง 300,000 บาท/ราย แต่มาจ่ายจริงให้ ชาวบ้านรายละ 10,000 บาท
ปัจจุบันที่ดินแปลงนี้มีผู้ถือครอง เป็นคหบดีชื่อดังในจังหวัดพังงา และ ภูเก็ต อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด และนายตำรวจยศพลตำรวจโท คนหนึ่ง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินแปลงดังกล่าว เนื่องจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช ใช้หลักฐานสำนวนการสอบสวนของ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษต่อสู้คดีในชั้นศาลปกครอง
และมีข้อมูลระบุว่า คดีการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินยังเกี่ยวพันกับการหายตัวไปของนายฉวี อินทระ ยุติธรรมจังหวัดพังงาและตกเป็นข่าวเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องพราะนายฉวีได้เข้าร่วมขบวนตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย ซึ่งสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมาก็ได้รับคำยืนยันว่านายฉวีได้เสียชีวิตแล้ว โดยพบศพในลักษณะของการถูกฆ่าเปลือยแล้วนำไปยัดถังปูนถ่วงน้ำที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
กรณีการเสียชีวิตของนายฉวีนั้น ในเบื้องต้นยืนยันว่า เป็นเรื่องชู้สาว และถูกล่อลวงไปฆ่า โดยฝีมือของนายอดิศักดิ์ ทองสมจา หรือหมู เป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ของกลุ่มที่มีชื่อว่า “กะม๊ะ” ซึ่งมีอิทธิพลทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ไม่พอใจนายฉวีซึ่งไปติดพัน น.ส.ณัฐนันท์ อินทร์ดำ แฟนของตนเอง
กระนั้นก็ดี แม้ปมเหตุการณ์ฆาตกรรมนายฉวีมาจากเรื่องชู้สาว แต่ก็ไม่อาจมองข้ามเรื่องที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายธวัชชัยก็เป็นได้ เนื่องเพราะ เรื่องนี้อาจมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าที่เห็นก็เป็นได้
คดีสำคัญคดีที่สอง เป็นการออกเอกสารสิทธิ์ จ.ภูเก็ตและเป็นเหตุให้นายธวัชชัย ถูกออกหมายจับนั้น เป็นการลงนามออกเอกสารสิทธิ์ทับอุทยานแห่งชาติสิรินาถ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่จำนวน 7 ไร่ ราค่าไร่ละ 70 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าที่ดินจำนวน 490 ล้านบาท และที่ดินแปลงติดกันที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน 6 ไร่ แบ่งขาย 3 ไร่ ให้กลุ่มนิกกี้บีช อีก 3 ไร่ขายฝากกับบริษัทเครื่องมือการเกษตรชื่อดังรายหนึ่ง รวมที่ดิน 3 แปลงนี้ก็มีมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
คดีที่สาม เป็นคดีการออกโฉนดที่ดิน เลขที่ 61483 - 61491 หมู่ที่ 5 ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โดยมิชอบ ร่วมกับ นายบุ่นเก้ง ศรีแสนสุชาติ ออกโฉนดที่ดินเนื้อที่รวม 362-3-12 ไร่ ให้บริษัทแห่งหนึ่ง
คดีที่สี่ เป็นคดีร่วมกันปลอมเอกสารโฉนดที่ดิน และออกหนังสือรับรองราคา ประเมินที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 42650 และ 42651 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต เป็นเท็จ
คดีที่ห้า เป็นคดีทุจริตออกเอกสารสิทธิโฉนดที่ดิน เลขที่ 5070 ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โดยอ้าง ส.ค.1 เลขที่ 375 มาสวมให้กับ น.ส.จินตนา บุรินทรโกษฐ์ โดยมิชอบโดยทับที่ดินที่ นายดุสิต สาลักษณ์ ครอบครองกรรมสิทธิ์อยู่
และคดีที่หก เป็นคดีออกโฉนดที่ดิน เลขที่ 65869, 65870 ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 โดยการนำเอา สค.1 สำหรับที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่คนละตำแหน่งมาสวมทับ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.ค.44 (สองคดีหลัง ป.ป.ช.กำลัง สรุปข้อเท็จจริงเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา
เมื่อประติดประต่อภาพและประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดก็ไม่แปลกใจนักที่ผู้คนจะสงสัยต่อการเสียชีวิตของ “นายธวัชชัย” ซึ่งขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เสียชีวิตเพราะเหตุอันใด เป็นการฆ่าตัดตอน เป็นการผูกคอตายเอง เพราะว่ากันตามจริงแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเสียชีวิตของนายธวัชชัยเกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาลและกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ไม่ธรรมดา และที่สำคัญคือการเสียชีวิตของนายธวัชชัยอาจทำให้การสืบสาวราวเรื่องต่างๆ ต้องมีอันต้องยุติไปโดยปริยาย
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเอง งานนี้คงต้องหนาวๆ ร้อนๆ กันไปทั้งหน่วยงาน เพราะเรื่องนี้ถึงมือ “ลุงต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมมีคำสั่งปลัดกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีดีเอสไอ ลงไปตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตเชิงลึก ทั้งประเด็นการเสียชีวิต และวิธีการเสียชีวิต ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพื่อตอบข้อสงสัยของประชาชนให้ชัดเจน
ขอบขอบคุณภาพและข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา