“ประยุทธ์” ขออย่าเพิ่งพูดอะไรเหตุอดีต พนง.ที่ดินพังงาเสียชีวิต ชี้ DSI ต้องไปชี้แจง ต้องให้เวลา เอา กม.มาว่ากัน ลั่นโดนหมดคดีที่ดินภูเก็ต เผยไฟใต้จบหรือไม่อยู่ที่การปฏิบัติ หากไม่ได้ข้อสรุปต้องคุยใหม่ ยันความต้องการไทยต้องเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ได้ ชวน ปชช.ดูคืนความสุขฯ แจงปัญหาใต้ทำไมไม่จบ เผยบอลไทยแพ้ซาอุฯ จบแล้ว ปล่อยประท้วงไป ย้ำต้องให้กำลังใจสู้ต่อ
วันนี้ (2 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ญาติยังติดใจการตายที่อาจเป็นการฆ่าตัดตอนนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าพนักงานที่ดิน จ.พังงา ผู้ต้องหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบออกโฉนดหาดลายัน อุทยานแห่งชาติสิรินารถ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ที่ระบุผูกคอตายคาห้องขังดีเอสไอเนื่องจากตรวจพบมีอาการตับแตกว่า หลายหน่วยงานที่เกี่ยวกำลังสอบสวนอยู่ ทั้งตำรวจและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ อย่าเพิ่งไปพูดจาอะไรโดยที่เรายังไม่รู้เลย ไม่ว่าจะเสียชีวิตที่ไหน ตายข้างถนนมีข้อสงสัยก็ต้องไปสอบ แล้วคิดหรือว่าเจ้าทุกข์เขาจะยอมหรือ จากที่ตนฟังข่าวจะมีการฟ้องร้องกันอยู่ ทางดีเอสไอก็ต้องไปแก้ตัวทำไมถึงตาย ตัดตอนแล้วใครได้อะไร ดีเอสไอตำรวจจะได้อะไรตนไม่รู้ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ไปหามา เมื่อเขาบอกว่าไม่ปกติก็ต้องสอบจนเจอ รมว.ยุติธรรมดูแลอยู่แล้ว และตนก็สั่งให้ดูเป็นพิเศษอยู่แล้วต้องให้เวลาเขาทำงานอย่าไปตัดสินอะไรล่วงหน้า คนทำงานจะเป๋ไปเป๋มาจะให้มันตรงก็ไม่ได้เพราะสังคมจะเอาอย่างนี้ ดังนั้น ถ้าจะให้ทุกอย่างเรียบร้อยต้องเอากฎหมายมาว่ากัน ตัดสินผิดถูกกันที่อัยการที่ศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ จะมีมาตรการอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดการตัดตอนไปถึงผู้บงการการออกเอกสารสิทธิที่ดินในพื้นที่ป่า จ.ภูเก็ต พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทำไมจะไม่ถึง เขาอยู่ในขบวนการอยู่ แล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สมัยตนหรือ ตอนนี้กำลังสืบต่อ มีข้าราชการกี่คนที่โดนไป และนายทุนเป็นใครก็โดนหมด ทั้งปลดและลงโทษทางวินัยและอาญา รวมถึงเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ตนเห็นจากรายงานที่รายงานขึ้นมาก็มีหลายราย แต่สมัยก่อนโดนกันบ้างหรือไม่ก็ไม่โดน ที่สำคัญเราต้องกันคนที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาอยู่ในระบบ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงความคืบหน้าการพูดคุยสันติสุข-มาราปาตานีเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นำโดย พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้า หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ที่ศูนย์ราชการปุตตราจายา มาเลเซีย ว่ายังไม่มีการรายงานมา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้พูดไปหมดแล้ว ส่วนการพูดคุยก็คุยกันไป บอกแล้วว่าเราต้องเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ได้เสียก่อน
เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.อักษรารายงานความคืบหน้าเข้ามาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ยังๆ แต่ก็เป็นมติไปแล้ว ให้เขาเอาไปคุยอย่างนี้ ถ้าไปคุยนอกกรอบมันได้ไหมเล่า ยังจะไปขยายอะไร คุยก็คือคุย มันจะจบหรือไม่จบอยู่ที่การปฏิบัติ คุยแล้วไม่ทำมันก็ไม่เกิด หลายเรื่องที่คุยแล้วมันก็ไม่เกิด ไม่เกิดก็ต้องคุยกันต่อแค่นั้นเอง สิ่งสำคัญคือเราต้องดูกฎหมายของเราด้วย กฎหมายเราทำอย่างอื่นได้ไหมล่ะที่มันนอกกรอบของกฎหมาย ถ้าไม่ได้จะทำอย่างไรอันนี้คือประเด็น เย็นนี้ผมจะพูดในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ เรื่องการแก้ไขปัญหาภาคใต้ทั้งระบบให้ฟังต่อ 2 ทุ่ม ดูว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่ทับซ้อนกันอยู่ การแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยสันติสุขเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการเปิดพื้นที่เพราะฉะนั้นเดี๋ยวรอฟังกัน ขอให้เข้าใจในภาพรวมด้วย จะได้ถามคำถามแล้วเข้าใจกัน”
เมื่อถามว่าจะมีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ก็ต้องตั้งใหม่ ยังไม่รู้ ทำไมล่ะ แล้วคนอื่นไม่มีหรือ ที่จบไปเยอะแยะไม่มีหรือ ไม่ห่วงเขาบ้างล่ะ ผมหาจนได้ ทำไมจะเป็นรัฐมนตรีหรือ ไปตั้งเอาเองก็แล้วกัน ทำไมต้องมาเพ่งเล็งตรงรัฐมนตรี อะไรก็ตอบแทนก็วนอยู่แค่นี้แหละ ตั้งแต่อะไรก็แล้วแต่ไม่ใช่การตอบแทน ตอบแทนประเทศชาติโน่น”
นายกฯ กล่าวว่า ไปดูเรื่องอื่น อย่ามาจับผิดจับถูก บางทีตนเป็นคนพูดเร็ว พยายามวาดภาพมโนภาพตามว่าจริงหรือไม่ ปัญหาประเด็นอยู่ตรงนั้นหรือไม่ การทำงานมีหลายอย่างหรือไม่ เจ้าหน้าที่ทำไมถึงแก้ไขปัญหาไม่ได้มากนัก เพราะมันติดภารกิจอะไรถ้าไม่ให้เขาทำตรงนี้แล้วจะเอาใครมาทำมันก็ไม่มี เพราะฉะนั้นประชาชนต้องร่วมมือ การรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ที่ประชาชนคือต้นทางสำคัญที่จะต้องระมัดระวังตัวเอง ให้ความสะดวกเจ้าหน้าที่ การใช้เส้นทาง การตรวจรถค้นรถ ทุกคนก็โวยวายหมด คนที่ไม่ได้เดือดร้อนก็โวยวาย คนที่เดือดร้อนก็โวยวายสรุปว่าไม่รู้ว่าจะแก้ตรงไหนเพราะโวยวายทั้งคู่ นี่คือข้อเท็จจริง สภาวะแวดล้อมปัจจัยภายในภายนอก กฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ ไปฟังตอนเย็นแล้วกัน ตนก็คิดเร็วพูดเร็ว เป็นห่วงและกังวลเรื่องนี้มันอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุย ไม่สังเกตหรือว่าทำไมเขาไม่พูดคุยกันมาตั้งนานแล้ว เพิ่งมาพูดคุยเมื่อรัฐบาลที่แล้วทำไม มันเป็นการสร้างความรับรู้ว่าเราได้แก้ปัญหาทั้ง 3 ทาง 1. พูดคุยสันติวิธี 2. การบังคับใช้กฎหมาย และ 3. การดูแลสิทธิมนุษยชนที่มีการถูกละเมิดเพราะว่าต้องมาตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมต้องไปแก้เรื่องการศึกษา ตอนนี้กระทรวงศึกษาธิการลงไปแก้ไขเยอะมากไปดูโรงเรียนเขาเป็นอย่างไร เขาสอนหนังสือกันอย่างไร ภาษาไทยได้เรียนกันหรือไม่ หลักสูตรมีกี่หลักสูตรโรงเรียนปอเนาะ โรงเรียนตาดีกา มีหรือไม่ ถ้าท่านรู้แบบนี้ท่านจะได้เขียนถูก อย่าไปเขียนว่าพูดคุยแล้วจบไม่จบ เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ได้ป้องกันไม่ดี อย่างไรเจ้าหน้าที่ก็รับผิดชอบอยู่แล้ว และตนก็ต้องรับผิดชอบในฐานะรัฐบาล แต่รับผิดชอบแล้วก็ต้องแก้ไข
เมื่อถามว่าจะมีกรอบอะไรเป็นพิเศษในการพูดคุยร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซียในวันที่ 9 กันยายนหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีกรอบอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพียงการหารือร่วมกันในหลายๆ ประเด็น เรื่องนี้เขาจะพูดกันส่วนตัว ไปพูดกันในทวิภาคี ปัจจัยสำคัญคือเรื่องการพัฒนา การค้าขาย ซึ่งเป็นปัญหาระหว่างเราทั้งสองประเทศ เรื่องนี้เป็นเรื่องพิเศษออกมาเป็นเรื่องของความมั่นคง ซึ่งรองนายกฯ ประวิตรได้มีการพูดคุยไปแล้ว ซึ่งจะต้องให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันให้มากยิ่งขึ้น เราก็พูดกันและกันมาในฐานะเพื่อนบ้าน
เมื่อวันที่ 1 กันยายนในการแถลงเรื่องยุทธศาสตร์ 20 ปีของ วปอ.ที่บอกว่าปัญหาภาคใต้ต้องจบ นายกฯ กล่าวว่า จบต้องแบบยั่งยืน หมายความว่าเลิกรบและใช้กำลังกันก่อน และไปพัฒนาให้แข็งแรงเหมือนภาคอื่นๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลาถึง 20 ปี แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะจบภายใน 20 ปีในเรื่องของการต่อสู่แบบนี้ ต่อสู้นั้นต้องเร็วที่สุดเพราะมีคนตาย ส่วนยุทธศาสตร์ 20 ปีคือยั่งยืน เพราะฉะนั้นถ้าแก้ให้เร็วที่สุดได้ยิ่งดี จึงต้องไปเริ่มที่การพูดคุยและทำเวทีให้น่าพูดคุย ใครเป็นคนทำ รัฐเป็นคนเริ่มก่อนหรือไม่ก็ไม่รู้
เมื่อถามว่าในฐานะที่เคยเป็น ผบ.ทบ.และเป็นทหารมานานคิดว่า 20 ปีจะจบได้ทันตาหรือ นายกฯ กล่าวว่า อะไรคือทันตา ต้องมาฟังตอนเย็นก่อนค่อยมาถามตนว่าทำอะไรไปบ้าง ทั้งนี้ตนไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษเพราะกำชับมา 2 ปีแล้วจนเขาเบื่อที่จะฟังตนสั่ง ทุกคนรู้อยู่แล้วทั้งรัฐมนตรี รองนายกฯ เขาก็ทราบอยู่แล้วว่าเขาจะต้องทำอะไร ความร่วมมือฉันมิตร ตนไม่ใช้อำนาจมากอยู่แล้ว ใช้ความร่วมมือ ความจริงใจต่อกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นหากทุกคนต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกันก็มีกำลังใจในการทำงานต่อไป มีแรงศรัทธา ถ้าทำลายความศรัทธาที่มีอยู่มันก็หมด ความศรัทธาสำคัญที่สุด รวมถึงความเชื่อมั่น
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์ผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่มบี ระหว่างทีมชาติไทยพบซาอุดีอาระเบีย ซึ่งไทยแพ้ไป 1-0 ว่า “ไม่ได้ดูก็รู้ เรื่องลูกโทษนั้นพอแล้ว มันจบไปแล้ว เดี๋ยวเขาก็ไปประท้วงกันไม่ใช่หรือ ผมก็เห็นเขาทำหนังสือไปประท้วงเดี๋ยวมันก็จบ ก็ว่ากันไป กีฬาก็คือกีฬา” เมื่อถามว่า การแข่งขันนัดต่อไปเราจะเจอกับทีมชาติญี่ปุ่น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะต้องให้กำลังใจเขา จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร อย่าไปรอประท้วงเขาตั้งแต่ต้น ต้องให้กำลังใจ ให้เขามั่นใจว่ามีโอกาสชนะก็สู้ไป แต่ถ้ามันแพ้ด้วยอะไรขึ้นมา เขาก็มีวิธีการแก้ด้วยทางกีฬา ระเบียบข้อบังคับเขามีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามก็ต้องให้กำลังใจพวกเขาเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนเคยอยู่กับการกีฬามาตลอดสมัยที่ผู้บัญชาการทหารบก ก็ตั้งสโมสรอาร์มี่ยูไนเต็ด ที่ยิ่งเล่นยิ่งถอยหลังไปเรื่อยๆ บางอย่างในทางทหารเราก็ต้องใช้ทรัพยากรทางทหาร ให้เป็นนักกีฬาของเรา แต่ขณะนี้มีวัฒนาการกีฬาไทยในพรีเมียร์ลีกของเรานั้นมีมาก จนไม่สามารถใช้ระบบเดิมได้ ค่าโค้ช ค่าตัวผู้เล่นเป็นแสนเป็นล้านบาท ทุนของตนไม่หนาเท่าเขา ก็ต้องอาศัยลูกน้องที่เป็นทหารเล่นไปก่อน อย่างสโมสรฟุตบอลทหารบกก็ตั้งมากว่า 90 ปีและก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนรูปแบบไปบริหารในเชิงสากลมากขึ้น