xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิถี “ลูกผู้ชาย” บนสังเวียนข้างถนนที่กฎหมายรับไม่ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กำลังเป็นที่น่าจับตาของสังคม รวมทั้งหน่วยราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อในโซเชียลเน็ตเวิร์กมีการแชร์คลิป “การชกมวยข้างถนน” แบบ “ดิบ-ดุ-เดือด” ซึ่งจัดโดยกลุ่มที่มีชื่อว่า FCTH (Fight club Thailand) จนได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

จากทั้งยอดไลค์ในแฟนเพจเฟซบุ๊กที่อาจดูไม่มากแค่เฉียดๆ หมื่น แต่กลุ่ม Fight Club Thailand ที่เป็นกลุ่มปิดในเฟซบุ๊กมีสมาชิกจนถึงตอนนี้แล้วเกือบ 7 หมื่นราย และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่พีคสุดๆคงเป็นการเผยแพร่คลิปผ่านยูทิวบ์ที่ปัจจุบันมีการอัพโหลดไปแล้วเกือบร้อยคลิป มีผู้ติดตามมากกว่า 5 หมื่นคน ยอดวิวในแต่ละคลิปไม่ต่ำกว่าหมื่นครั้ง ถัวเฉลี่ย แล้วจะมีคนดูประมาณ 4-5 หมื่นครั้งต่อคลิป ส่วนคลิปที่ได้รับความนิยมยอดพุ่งไปถึง 3 แสนกว่าครั้งเลยทีเดียว นอกจากนี้ผู้ชมหรือแฟนคลับที่คอยติดตามไปดูถึงขอบสนามก็ไม่ใช่น้อย ดูจากคลิปที่ออกมาคงไม่ต่ำกว่าหลักพันคน เป็น อย่างน้อย

Fight club Thailand ซึ่งก่อตั้งมาไม่นาน และเริ่มจัดสังเวียนข้างถนนกันมาราว 4-5 เดือน เปรียบมวยจัดคู่ชกไปแล้วกว่าร้อยคู่ ก่อนจะมาตั้งกลุ่มในเฟซบุ๊กเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนความนิยมที่เกิดขึ้นนั้นมีผลพวงมาจากการที่เพจดัง เพจกระแส ทั้งหลายต่างพร้อมใจกันโพสต์เรื่องราวพร้อมคลิปการต่อสู้อันดุเดือดของสังเวียนข้างถนนแบบไม่ได้นัดหมาย จนเกิดกระแสในวงกว้าง สื่อกระแสหลักจับมาเล่นเป็นประเด็นข่าวในเชิงความหมิ่นเหม่ของกิจกรรมนี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจัดตั้งกลุ่ม Fight club Thailand ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ดังที่ชื่อ Fight Club หรือชื่อในภาษาไทยว่า “ดิบดวลดิบ” ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2542 มีซูเปอร์สตาร์อย่าง “แบรด พิตต์ - เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน” นำแสดง เรื่องราวกล่าวถึงชายหนุ่มผู้เบื่อหน่ายกับชีวิตที่จืดชืด และพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง โดยการจับกลุ่มตั้งชมรมและสังเวียนลับๆขึ้นในชื่อ “Fight Club” รวบรวมชายฉกรรจ์มากหน้าหลายตาเพื่อมาต่อสู้กัน ในลักษณะเดียวกับที่กลุ่ม FCTH กำลังทำอยู่ในขณะนี้

Fight club Thailand มีการกำหนดรูปแบบอย่างค่อนข้างเป็นกิจลักษณะ โดยมีทีมงานชุดบุกเบิก 8 คน แบ่งกันทำแต่ละหน้าที่ ทั้ง กรรมการ โปรดิวเซอร์ ช่างภาพนิ่ง ช่างภาพวิดีโอ พยาบาล และฝ่ายประสานงาน จากนั้นก็มีพรรคพวกเพื่อนฝูงแวะเวียนมาช่วยเป็นทีมงานเบื้องหลัง ซึ่งต้องบอกว่าการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งน้องๆ มืออาชีพ โดยเฉพาะในแง่การตัดต่อ-โปรดักชันที่ถ่ายทอดผ่านคลิปสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้แก่ผู้ที่ติดตามเป็นอย่างมาก

สำหรับรูปแบบของ Fight club Thailand พอสรุปคร่าวๆได้ว่า จะจัดมวยนอกสังเวียนขึ้นทุกวันเสาร์เว้นเสาร์ เวลาเริ่มต้นตั้งแต่ 21.00 น. แจ้งนัดหมายเวลา-สถานที่แก่คู่ชกล่วงหน้าเพียง 1 วัน ซึ่งอาจไม่ใช่สถานที่เดิม เปิดรับสมัครคู่ชกตามโพสต์ในกลุ่ม โดยแบ่งนักกีฬาเป็น 7 รุ่นตามน้ำหนัก ได้แก่ S 52-57 กก., SS 58-63 กก., M 64-69 กก., MM 70-75 กก., L 76-81 กก., LL 82-87 กก. และ XL 88 กก.ขึ้นไปไม่จำกัด

ผู้จัด Fight Club Thailand จะเน้นย้ำเสมอในกลุ่มคือ 1. ห้ามท้าทาย ยุแหย่ ให้เกิดอารมณ์ หรือมีความขัดแย้ง 2. ห้ามจับคู่กันเอง หรือนัดชกกันเองภายในกลุ่ม 3.ห้ามสร้างศัตรู แสดงตัวตนโอ้อวด ห้ามท้าทายสถาบันการศึกษา ทั้งกลุ่มคนและตัวบุคคลเด็ดขาด 4.ห้ามนักกีฬาที่ผ่านเวทีต่างๆ ที่เป็นรายการชิงแชมป์อาชีพ หรือนักชกอาชีพ เข้าร่วมชก และ 5. ยึดหลักสร้าง มิตรภาพ ตามความคิดอุดมการณ์ของกลุ่มเป็นหลัก

ส่วนกติกาในการชก คือ 1.ห้ามโจมตีอวัยวะเพศ 2.ห้ามโจมตีลูกกระเดือก 3.ห้ามโจมตีท้ายทอย แนวกระดูกสันหลัง 4.ห้ามจับทุ่ม ห้ามจับเหวี่ยง 5.ห้ามซ้ำเวลาเพื่อนล้ม หรือหันหลังไม่สู้ โดยมีกรรมการที่รูปร่างใหญ่ และทีมงานค่อยป้องกันอุบัติเหตุ หรือเหตุผิดพลาดไม่คาดฝันเกิดขึ้น และ 6.ทุกท่านที่มาชม งดการดื่มสุราหรือสิ่งเสพติดทุกชนิด และทางทีมงานไม่สนับสนุนการพนัน

“กำหนดเวลาชกกัน 3 นาที ไม่มีแพ้หรือชนะ ใช้ศิลปะการต่อสู้ได้ทุกรูปแบบโดยไม่จำกัด เปิดโอกาสให้คุณแสดงความมีน้ำใจ และแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ลูกผู้ชาย ได้อย่างเต็มที่” นั่นคือสิ่งที่ทีมงาน FCTH เน้นย้ำกับสมาชิก ในกลุ่มและผู้ที่สนใจขึ้นชกบนสังเวียนนอกสนาม

หลังเป็นข่าวไม่นาน สมาชิกกลุ่ม Fight club Thailand ทั้ง 8 คน ให้สัมภาษณ์เปิดใจทางรายการ “ต่างคนต่างคิด” ของสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี หลังตกเป็นข่าวดังไว้ว่า เราจัดมาประมาณ 4-5 เดือน มีการชกมา 91 คู่ หรือ 182 คน มีแฟนเพจกว่า 4 หมื่นคน ไม่เคยเกิดปัญหาอะไร เพราะมองว่ากิจกรรมนี้ก็เหมือนกับกีฬาทั่วไป เป็นการรวมกลุ่มของผู้ที่ชื่นชอบ การชกกันก็เหมือนกับการออกกำลังกาย หรือการฝึกการป้องกันตัว ไม่ได้จัดการแข่งขัน ไม่มีผู้แพ้ไม่มีผู้ชนะ ไม่มีเงินรางวัล ไม่มีการพนัน ที่สำคัญคือ หลังการชกทุกคนจะกลายมาเป็นเพื่อนกัน พูดคุยกินข้าวกันสังสรรค์กัน จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันกลับมาพูดคุยกันรู้จักกัน เป็นเหมือนการสร้างอีกสังคมอีกความชอบหนึ่ง คนที่มารวมกิจกรรมหรือคนที่ไม่มีงานทำพอมาพูดคุยกัน ก็แนะนำงานให้กันด้วย นอกจากนี้อาจจะเป็นการแก้ไขปัญหานักเรียนตีกัน หรือวัยรุ่นที่ชอบก่อเหตุทะเลาะวิวาท ให้เข้ามาแสดงออกในพื้นที่ที่จัดไว้ให้ และให้รู้ว่าวิถีลูกผู้ชายมีจริง 1 ต่อ 1 ไม่มีการรุม

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ถ้าชอบชกมวย แล้วทำไมไม่ขึ้นเวทีมวย ทางกลุ่ม Fight club Thailand ก็ตอบว่า “พวกตนเป็นแค่คนชื่นชอบ ไม่ได้เป็นนักมวยอาชีพ แต่มีอาชีพ มีความรับผิดชอบในด้านอื่นๆอยู่แล้ว ซึ่งการจัดกิจกรรมนี้ขึ้นก็มาจากความชอบใช้เงินส่วนตัว ซึ่งหากหลายคนติเรื่องความปลอดภัยตนก็น้อมรับและจะนำมาปรับปรุงให้ดีที่สุด โดยเรามีเป้าหมายในการจัดกิจกรรมทั่วประเทศ จึงอยากให้หน่วยงานหรือใครที่เล็งเห็นความสำคัญในส่วนนี้เข้ามาช่วยสนับสนุนทุนทรัพย์ และจะไม่ขอหยุดกิจกรรมนี้ ซึ่งเราจะเดินหน้าต่อไป”

แต่พอเป็นกระแสขึ้นก็เกิดประเด็นคำถามถึงความเหมาะสมในการจัดกิจกรรมของกลุ่มนี้ ทั้งในแง่ของกฎหมาย ความปลอดภัย และในเรื่องของศีลธรรม ควบคู่ไปกับเสียงชื่นชมในความกล้าของผู้จัดและผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม

ไม่เพียงแต่สื่อหลัก สื่อรอง สื่อโซเชียล ให้ความสนใจเท่านั้น “เจ้าหน้าที่บ้านเมือง” ก็จับตามองเช่นกัน โดยล่าสุด “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งยอมรับว่าได้ชมคลิปของกลุ่มนี้แล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกต และแสดงความเป็นห่วงเอาไว้ว่า อาจเกิดความไม่ปลอดภัย และเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย เนื่องจากการจัดชกมวยในประเทศไทยนั้นมี พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กีฬามวย พ.ศ.2542 ควบคุม พร้อมประกาศกร้าวตามสไตล์ว่า หากพบจัดกิจกรรมในพื้นที่กรุงเทพฯ จะจับกุมกลุ่ม Fight club Thailand มาดำเนินคดีทันที

ทว่าผู้จัด Fight club Thailand ก็ได้ยืนยันว่า จะเดินหน้าจัด Fight club ต่อไป และอาจขยายไปจัดทั่วประเทศอีกด้วย

ด้านบุคคลในแวดวงหมัดมวยก็ไม่พลาดที่จะติดตามข่าวนี้ ทั้ง ผศ.สุรัตน์ เสียงหล่อ ทั้ง “เขาทราย แกแล็คซี่” สุระ แสนคำ อดีตนักมวยไทยและมวยสากลอาชีพชื่อดัง ทั้งเจ้าของวลีดัง “ไม่ได้โม้” สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักกมวยเหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน

แน่นอน ไม่แปลกที่คนในแวดวงหมัดมวยจะไม่เห็นด้วย เพราะกระแสความนิยมของ Fight club Thailand ที่พุ่งกระฉูด ค่อนข้างสวนทางกับกระแสกีฬามวยสากล หรือมวยไทยในประเทศ ที่อยู่ในช่วง “ขาลง” ความนิยมลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตั๋วในสนามมวยที่ “ถูกต้องตามกฎหมาย” ลดน้อยถอยลงอย่างหนัก ทั้งปัญหาคู่แข่งในวงการมวยที่แตกสายไปเป็น “มวยโชว์” อย่างเวที THAI FIGHT รวมไปถึงปัญหาสำคัญอย่าง “วงจรการพนัน” ที่เป็นความดำมืดของกีฬาแขนงนี้ จนทุกวันนี้ผู้ชมที่ตีตั๋วเข้าไปในสนาม สนใจแต่เรื่องการพนันขันต่อ ไม่ได้เข้าไปดูศิลปะแม่ไม้มวยไทย หรือความสนุกตื่นเต้นของกีฬานี้แล้ว ยิ่งมี Fight club Thailand มาเป็นทางเลือก ที่อาจจะดึงผู้ชมแย่งกลุ่มเป้าหมายออกไปอีก คนในแวดวงหมัดมวยก็ย่อมเรียงหน้าออกมาคัดค้านเป็นธรรมดา

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า Fight club Thailand นั้นผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เพียงแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะมียุทธวิธีเข้าไปดำเนินการอย่างไร การประกาศกวาดล้างคงไม่ใช่คำตอบ เพราะหากกลุ่ม FCTH เลือกที่จะหลบเลี่ยง โดยการถอยกลับไปเป็น “ชมรมใต้ดิน” อย่างเต็มตัว การควบคุมดูแลก็ยิ่งทำได้ยาก

ความนิยมที่เกิดขึ้นกับ Fight Club Thailand ถือเป็นเครื่องยืนยันว่า คนไทยยังชื่นชอบศิลปะการต่อสู้ รวมไปถึงแม่ไม้มวยไทยอยู่ แต่ที่มีอยู่ในระบบนั้นไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้

นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างตำรวจที่จ้องจะจับกุมดำเนินคดีแล้ว ในส่วนของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ตลอดจน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หรือกระทั่งองค์กรหน่วยงานในแวดวงหมัดมวย แทนที่จะตั้งแง่ต่อต้าน Fight Club Thailand เพียงอย่างเดียว ควรที่จะเล็งเห็นเป็นโอกาสในการต่อยอด ปรับแต่ง สนับสนุนกิจกรรม การขออนุญาตและการจัดหาพื้นที่ ให้มีความเหมาะสม ทั้งในทางกฎหมาย และเรื่องความปลอดภัย

ในทางกลับกันผู้จัด Fight club Thailand ก็ต้องเคารพตัวบทกฎหมาย ยอมรับว่าสิ่งที่ทำนั้นแม้จะ “ถูกใจ” แฟนคลับ แต่ก็ไม่ “ถูกต้อง” ควรที่จะน้อมรับฟังเสียงท้วงติง ข้อสังเกตต่างๆจากผู้ที่มีประสบการณ์ มากกว่าที่จะดื้อดึง ท้าทาย ไม่ยอมรับ หรือทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ในการที่จะจัดกิจกรรมขึ้นอีก ทั้งที่มีเสียงเตือนออกมาแล้ว

Fight Club ในภาพยนตร์ คืออิสรภาพ หนทางปลดปล่อยของคนที่เบื่อหน่ายกับชีวิต แต่นั่นคือโลกที่ไม่เป็นจริง

ในโลกแห่งความจริง Fight club Thailand กำลังไต่เส้นด้าย ทั้งเรื่องกฎหมาย ศีลธรรม ความปลอดภัย ก็ต้องย้อนทบทวนทบทวนการวางตำแหน่งของตัวเองให้ชัดเจนว่า ริเริ่มกิจกรรมขึ้นมาเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย การส่งเสริมกีฬา หรือเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ที่เบื่อหน่ายกับแนวทางอื่นอย่างที่กล่าวอ้างจริง หรือแค่ความคึกคะนองเอามัน โดยไม่สนใจปัญหาที่จะเกิดตามมา ที่อาจจะสายจนเกินแก้

จนอาจบานปลายไม่เพียงติดคุดติดตาราง แต่มีสมาชิกในกลุ่มกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้!!


กำลังโหลดความคิดเห็น