ผู้จัดการรายวัน360- ปูดเหตุ"สุวรรณภูมิ เฟส 2"ไม่คืบ หลังบอร์ด ทอท.ชุด"ประสงค์ พูนธเนศ" รื้อแผนใหม่หมด เพี้ยนจากที่ครม.อนุมัติ เมื่อปี 53 ทำโครงการฯ ล่าช้าไม่ต่ำ 3 ปี เสียหายหลายแสนล้าน แฉ 3 หน่วยงานท้วงติง แต่ตีมึนมุ่งเดินตามแผนตัวเอง เชื่อหวังเอื้อประโยชน์“ร้านค้าปลอดภาษี”พร้อมแยกสัญญาจัดซื้อ“ระบบตรวจระเบิด” ออกจากงานก่อสร้างอาคาร ล็อกให้"ผู้รับเหมา"บางราย
รายงานข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ถึงความคืบหน้าของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ( ปีงบประมาณ 2554 -2560) หลังจากที่ทอท.ได้รับอนุมัติโครงการฯ จากที่ประชุมครม. เมื่อเดือนส.ค.53 ด้วยวงเงิน 6.2 หมื่นล้านบาทเศษ กำหนดระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี ตั้งแต่ปี 54 - 60 แต่จนถึงปัจจุบัน โครงการกลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร กล่าวคือทอท.ได้เริ่มว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา EPM Consortium เพื่อเป็นที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการฯ ด้วยวงเงิน 763 ล้านบาท ตั้งแต่เมื่อเดือนมิ.ย. 55 กำหนดสิ้นสุดสัญญาในเดือนมี.ค.61 แต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. มาเป็นชุดที่นายประสงค์ พูนธเนศ เป็นประธาน เมื่อเดือนมิ.ย.57 ก็ได้มีการบอกเลิกสัญญาทางกลุ่ม EPM ก่อนสิ้นสุดสัญญาไปเมื่อเดือนมี.ค.58 ส่งผลให้ ทอท.ต้องสูญงบประมาณว่าจ้างกลุ่ม EPM ที่ชำระไปแล้ว ประมาณ 400 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า ทอท.จะนำงานในส่วนที่ปรึกษามาดูแลเอง ทั้งที่ไม่มีความถนัด
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เมื่อปี 55 ในสมัยที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรมว.คมนาคม ได้สั่งการให้ทอท.เร่งรัดลดเวลาการดำเนินโครงการฯ จาก 70 เดือน เหลือ 60 เดือน ซึ่งที่ประชุมบอร์ด ทอท.ในขณะนั้น ก็ได้อนุมัติแผนการใหม่โดยใช้เวลาดำเนินการเพียง 58 เดือนเท่านั้น แต่เมื่อนายประสงค์ เข้ามาเป็นประธานบอร์ด ทอท. ก็กำหนดแนวทางการใหม่ ให้แยกงานระบบขนส่งผู้โดยสาร ระบบลำเลียงสัมภาระ และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด ออกจากกลุ่มงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลัง ที่ 1 และกลุ่มงานอาคารผู้โดยสาร ซึ่งแนวทางใหม่นี้ไม่ตรงตามที่ ครม.ได้เคยอนุมัติไว้เมื่อปี 53
รายงานข่าวยังได้อ้างถึง ข้อสังเกตและข้อคิดเห็นจากหน่วยงานตรวจสอบต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงการฯด้วยว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ได้เคยมีหนังสือที่ คสช.(คตร.) / 588 ลงวันที่ 10 ก.ย.57 เพื่อแจ้งให้ ทอท. ทบทวนโครงการฯ รวมทั้งกำชับให้ ทอท.ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปี 59 นอกจากนี้ยังมีความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ได้เร่งให้ทอท. ดำเนินโครงการตามแผนเดิมโดยเร็วด้วย รวมไปถึงในส่วนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.)คมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ส่งข้อเสนอแนะให้ทอท. เมื่อเดือนพ.ค. 58 โดยระบุว่า ทอท.ควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้รับอนุมัติจากครม. เมื่อเดือนส.ค. 53 ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไปก่อน ส่วนแนวคิดในการดำเนินการที่นอกเหนือจากแผนดังกล่าว ควรจัดทำรายงานศึกษาความเหมาะสม และความแป็นไปได้เพื่อเสนอต่อ ครม.ตามขั้นตอนต่อไป
"แม้ 3 หน่วยงานจะมีความเห็นให้ทอท. เร่งรัดดำเนินการตามแผนเดิมที่ได้รับอนุมัติจากครม.เมื่อปี 53 แต่ ทอท.ก็เพิกเฉย และมุ่งปฏิบัติไปในแนวทางอื่น ทั้งนี้เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการร้านค้าปลอดภาษี และการแบ่งซื้อแบ่งจ้างในแผนที่มีการจัดทำขึ้นมาเอง" แหล่งข่าวภายใน ทอท.ระบุ
รายงานข่าวยังได้แจ้งถึงความเสียหายที่เกิดจากการปรับแนวทางโครงการฯ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมติครม.ด้วยว่า จะส่งผลให้การก่อสร้างโครงการฯ ไม่แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้เดิม และล่าช้าไปไม่น้อยกว่า 3 ปี คือ จากปี 59 ไปเป็นอย่างน้อยปี 62 เนื่องจากมีการแบ่งงานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินเป็น 2 ส่วน และใช้ผู้รับเหมา 2 ราย ในอาคารเดียวกัน ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการก่อสร้าง และก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร ที่อาจจะไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรม รวมทั้งการแยกงานจัดซื้อ และติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระ และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด ออกจากงานก่อสร้างอาคาร เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับเหมาระบบสายพานบางรายเป็นการเฉพาะ
"การปรับแบบก่อสร้างโครงการสุวรรณภูมิ เฟส 2 ของบอร์ด ทอท. ชุดของนายประสงค์ จนส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการฯ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งทอท. และประเทศชาติ ที่สูญเสียรายได้จากปริมาณนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง คิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท รวมทั้งยังสูญเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาค ทั้งนี้เพียงเพื่อต้องการไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการร้านค้าปลอดภาษี และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาะบางรายเท่านั้น" แหล่งข่าว ภายในทอท.ระบุ
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯนั้น ทอท.ได้แบ่งส่วนงานเพื่อประกวดราคาหาผู้รับจ้างเป็น 7 สัญญา โดยล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย.59 ได้เปิดประมูลไปแล้ว 2 สัญญา คือ สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินหลังที่ 1 (ชั้น B2 ชั้น B1 และชั้น G)ลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 และส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้ (งานโครงสร้างและงานระบบหลัก) ซึ่งทางกลุ่ม บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD)เสนอราคาต่ำสุด 1.2 หมื่นล้านบาท และสัญญาจ้างก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามประสิทธิ์ เสนอราคาต่ำสุด 1,983 ล้านบาท ทั้งนี้ทอท.ได้กำหนดการจัดหาผู้รับจ้างครบทั้งหมด 7 สัญญา ภายในต้นปี 60.
รายงานข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ถึงความคืบหน้าของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ( ปีงบประมาณ 2554 -2560) หลังจากที่ทอท.ได้รับอนุมัติโครงการฯ จากที่ประชุมครม. เมื่อเดือนส.ค.53 ด้วยวงเงิน 6.2 หมื่นล้านบาทเศษ กำหนดระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี ตั้งแต่ปี 54 - 60 แต่จนถึงปัจจุบัน โครงการกลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร กล่าวคือทอท.ได้เริ่มว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา EPM Consortium เพื่อเป็นที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการฯ ด้วยวงเงิน 763 ล้านบาท ตั้งแต่เมื่อเดือนมิ.ย. 55 กำหนดสิ้นสุดสัญญาในเดือนมี.ค.61 แต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. มาเป็นชุดที่นายประสงค์ พูนธเนศ เป็นประธาน เมื่อเดือนมิ.ย.57 ก็ได้มีการบอกเลิกสัญญาทางกลุ่ม EPM ก่อนสิ้นสุดสัญญาไปเมื่อเดือนมี.ค.58 ส่งผลให้ ทอท.ต้องสูญงบประมาณว่าจ้างกลุ่ม EPM ที่ชำระไปแล้ว ประมาณ 400 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า ทอท.จะนำงานในส่วนที่ปรึกษามาดูแลเอง ทั้งที่ไม่มีความถนัด
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เมื่อปี 55 ในสมัยที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นรมว.คมนาคม ได้สั่งการให้ทอท.เร่งรัดลดเวลาการดำเนินโครงการฯ จาก 70 เดือน เหลือ 60 เดือน ซึ่งที่ประชุมบอร์ด ทอท.ในขณะนั้น ก็ได้อนุมัติแผนการใหม่โดยใช้เวลาดำเนินการเพียง 58 เดือนเท่านั้น แต่เมื่อนายประสงค์ เข้ามาเป็นประธานบอร์ด ทอท. ก็กำหนดแนวทางการใหม่ ให้แยกงานระบบขนส่งผู้โดยสาร ระบบลำเลียงสัมภาระ และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด ออกจากกลุ่มงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลัง ที่ 1 และกลุ่มงานอาคารผู้โดยสาร ซึ่งแนวทางใหม่นี้ไม่ตรงตามที่ ครม.ได้เคยอนุมัติไว้เมื่อปี 53
รายงานข่าวยังได้อ้างถึง ข้อสังเกตและข้อคิดเห็นจากหน่วยงานตรวจสอบต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงการฯด้วยว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ได้เคยมีหนังสือที่ คสช.(คตร.) / 588 ลงวันที่ 10 ก.ย.57 เพื่อแจ้งให้ ทอท. ทบทวนโครงการฯ รวมทั้งกำชับให้ ทอท.ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปี 59 นอกจากนี้ยังมีความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ได้เร่งให้ทอท. ดำเนินโครงการตามแผนเดิมโดยเร็วด้วย รวมไปถึงในส่วนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.)คมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ส่งข้อเสนอแนะให้ทอท. เมื่อเดือนพ.ค. 58 โดยระบุว่า ทอท.ควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้รับอนุมัติจากครม. เมื่อเดือนส.ค. 53 ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไปก่อน ส่วนแนวคิดในการดำเนินการที่นอกเหนือจากแผนดังกล่าว ควรจัดทำรายงานศึกษาความเหมาะสม และความแป็นไปได้เพื่อเสนอต่อ ครม.ตามขั้นตอนต่อไป
"แม้ 3 หน่วยงานจะมีความเห็นให้ทอท. เร่งรัดดำเนินการตามแผนเดิมที่ได้รับอนุมัติจากครม.เมื่อปี 53 แต่ ทอท.ก็เพิกเฉย และมุ่งปฏิบัติไปในแนวทางอื่น ทั้งนี้เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการร้านค้าปลอดภาษี และการแบ่งซื้อแบ่งจ้างในแผนที่มีการจัดทำขึ้นมาเอง" แหล่งข่าวภายใน ทอท.ระบุ
รายงานข่าวยังได้แจ้งถึงความเสียหายที่เกิดจากการปรับแนวทางโครงการฯ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมติครม.ด้วยว่า จะส่งผลให้การก่อสร้างโครงการฯ ไม่แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้เดิม และล่าช้าไปไม่น้อยกว่า 3 ปี คือ จากปี 59 ไปเป็นอย่างน้อยปี 62 เนื่องจากมีการแบ่งงานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินเป็น 2 ส่วน และใช้ผู้รับเหมา 2 ราย ในอาคารเดียวกัน ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการก่อสร้าง และก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร ที่อาจจะไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรม รวมทั้งการแยกงานจัดซื้อ และติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระ และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด ออกจากงานก่อสร้างอาคาร เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับเหมาระบบสายพานบางรายเป็นการเฉพาะ
"การปรับแบบก่อสร้างโครงการสุวรรณภูมิ เฟส 2 ของบอร์ด ทอท. ชุดของนายประสงค์ จนส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการฯ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งทอท. และประเทศชาติ ที่สูญเสียรายได้จากปริมาณนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง คิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท รวมทั้งยังสูญเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาค ทั้งนี้เพียงเพื่อต้องการไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการร้านค้าปลอดภาษี และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาะบางรายเท่านั้น" แหล่งข่าว ภายในทอท.ระบุ
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯนั้น ทอท.ได้แบ่งส่วนงานเพื่อประกวดราคาหาผู้รับจ้างเป็น 7 สัญญา โดยล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย.59 ได้เปิดประมูลไปแล้ว 2 สัญญา คือ สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินหลังที่ 1 (ชั้น B2 ชั้น B1 และชั้น G)ลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 และส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้ (งานโครงสร้างและงานระบบหลัก) ซึ่งทางกลุ่ม บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD)เสนอราคาต่ำสุด 1.2 หมื่นล้านบาท และสัญญาจ้างก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามประสิทธิ์ เสนอราคาต่ำสุด 1,983 ล้านบาท ทั้งนี้ทอท.ได้กำหนดการจัดหาผู้รับจ้างครบทั้งหมด 7 สัญญา ภายในต้นปี 60.