xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

หมดสภาพแล้วหรือตำรวจไทย !? "สารวัตร"กระเป๋าแบนจน"บ้านแตก"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับตำรวจระดับสารวัตรรายหนึ่งเกิดมีปัญหาครอบครัว แล้วลงเอยด้วยการซ้อมภรรยาบาดเจ็บสาหัสถึงขาดม้ามฉีก ต้องนอนรักษาตัวในห้องไอซียู. รายละเอียดมีอยู่ว่า นายตำรวจผู้นี้มียศ พ.ต.ท. ตำแหน่งสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร หลังจากทำร้ายภรรยา เรื่องไปเข้าหูมูลนิธิปวีณาฯ เข้าจึงมีการแจ้งความดำเนินคดี ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นคดีต้องใช้ตำแหน่งประกันตัวเพื่อสู้คดีความกัน

เรื่องนี้มองเผินๆ อาจจะคิดเพียงว่าทำไมคนเป็นถึงสารวัตร และอยู่ในท้องที่เกรด เอ. จึงไม่มีความสามารถหาเงินแค่ 1 หมื่นบาท มาเป็นค่าเลี้ยงดูลูก ทำไมจึงไม่มีวุฒิภาวะควบคุมอารมณ์จนถึงใช้ความรุนแรงกับคนเป็นเมีย และแม่ของลูกซึ่งมีอายุเพียง 8 และ10 ขวบ ถึงขนาดนั้น

คำถามต่างๆ คงเป็นเรื่องของครอบครัวนายตำรวจผู้นี้ ซึ่งน่าจะมีเรื่องราวต่างๆ ปัญหาต่างๆ ไม่ต่างกับครอบครัวอื่นๆ นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ และอีกสารพัดที่จะเกิดขึ้น
 
แต่สำหรับรายนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่ามาจากเรื่องรายได้ของครอบครัวที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง จนกลายเป็นเรื่องน่าสลดใจ เพราะคนเป็นพ่อซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลัก ตอนนี้กำลังตกเป็นผู้ต้องหา ส่วนคนเป็นเมียและแม่ต้องหมดสภาพ ดูแลลูกต่อไปไม่ได้ แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ยังไม่อาจมั่นใจว่าจะรอด หรือกลับมาปกติดังเดิม

คนเป็นลูกไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้เห็นว่ามีหน่วยงานรัฐนำไปดูแลชั่วคราวจนกว่าปัญหาความวุ่นวายในครอบครัวจะทุเลาเบาบาง

ถือเป็นข่าวดราม่า“ตำรวจไทย”อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีภาพสะท้อนไปยังตำรวจซึ่งรับผิดชอบอยู่ฝ่ายสอบสวนที่ผู้มีอำนาจทุกฝ่ายควรหยิบไปทบทวน และหากให้ดี ก็ควรรีบหาทางออกเพื่อบรรเทาปัญหา

มีข้อเท็จจริงว่า ฝ่ายสอบสวนเดิมนั้นจะมีเงินค่าตำแหน่งเป็นสิ่งจูงใจ และถือเป็นค่าตอบแทนในทางหนึ่งให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เพราะคนที่กำหนดกฏเกณฑ์แบบนี้มาก็คือตำรวจระดับบริหารจำนวนหลายคนที่ตกผลึกทางความคิดว่า ตำรวจสายสอบสวนไม่มีนอกมีใน มีแต่เพียงแผ่นกระดาษสำนวนที่จะให้คดีความต่างๆ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล อันเป็นต้นธารแห่งความยุติธรรมอย่างแท้จริง

หลายท่านอาจแย้งว่า ก็เห็นมีข่าวค้าสำนวน หากินกับความยุติธรรมกันอยู่ไม่ใช่หรือ... เรื่องนี้เป็นข้อเท็จ-จริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่คงเป็นบางเรื่อง บางคดีและน่าจะมีจำนวนไม่มากนัก อีกประการพนักงานสอบสวนระดับล่างก็คงไม่สามารถชี้เป็น ชี้ตาย หรือสั่งซ้ายหันขวาหันได้ ขบวนการค้าสำนวนมันเริ่มจากล่างไปสู่ยอด กล่าวคือ พวกที่หากินจนร่ำรวยกับสำนวน ก็คือระดับนายตำรวจชั้น ผบช. รอง ผบช. ผบก. หรือ รอง ผบก. (บางคน) โดยเฉพาะที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมสำนวนการสอบสวน
 
เพราะ“ของจริง-รวยจริง” มีตำรวจสายสอบสวน (หลายคน) ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และอยู่ในราชการมีเงินเก็บหลายสิบล้านบาท บ้านช่องใหญ่โตราวคฤหาสน์ หลายคนส่งลูกไปเรียนเมืองนอก มีรถหลายคัน บ้านตากอากาศ มีขอรักของสะสม ทั้งพระเครื่อง วัตถุโบราณ นาฬิกา หรืออื่นๆ..ถามว่าถ้าไม่รวยจากการค้าสำนวนแล้วจะเอาเงินทองเหล่านั้นมาจากไหน

ต่างจากระดับล่าง คือรองสารวัตร สารวัตร หรือ รอง ผกก. พวกนี้ทำตามหน้างาน หน้าที่ส่วนหนึ่ง ที่เหลือให้เป็นหรือตาย ให้ซ้ายหรือขวา อยู่ที่ระดับบน ลูกน้องเสี่ยงให้แลกกับ ยศ-ตำแหน่ง ถ้าพลาดเจ้านายช่วย มีการเอื้อประโยชน์กันและกันมาอย่างช้านาน จนเข้าไปอยู่ใน ดีเอ็นเอ. สีกากี

วันหนึ่งเมื่อมีตำรวจกลุ่มหนึ่งในนามสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ เกิดรวมตัวกันเพียงเพราะเชื่อว่า การปฏิรูปประเทศจะนำพาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีด้วย คือ เร่งให้งานสอบสวนทั้งหมดไปสู่ร่มเงาบ้านหลังใหม่ คือกระทรวงยุติธรรม แต่เอาเข้าจริงไม่เป็นไปตามนั้น แต่ยังเลวร้ายกว่าคือ นอกจากไม่ให้“ย้ายบ้าน”แล้วยัง “เผาบ้าน”เสียเลย โดยสั่งให้ยุบแท่งงานสอบสวนทั้งหมด 

หลังจากมีข่าวว่าผู้มีอำนาจคัดค้านวิธีคิดดังกล่าว วันที่ 8 ก.พ.58 พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ อดีตพนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.เทียนทะเล ในฐานะเลขาธิการสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ รีบทำหนังสือคัดค้านแนวความคิดนี้ ต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

4 วันแห่งการรอคอย ไม่มีเสียงตอบรับของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นความหวังเดียวของตำรวจสายสอบสวนทั้งหมด เช้าวันที่ 12 ก.พ.58 มีผู้พบศพ พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ แขวนคอตายกับรั้วประตูบ้าน ซึ่งจนป่านนี้ยังมีความเชื่ออยู่ 2 กรณีว่า ตายเพราะต้องการประท้วงผู้มีอำนาจ หรือเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง

หลังจากยุบแท่งพนักงานสอบสวน สิ่งที่ตามมาคือตำแหน่งพนักงานสอบสวน หรือ รองสารวัตร ตั้งแต่ ร.ต.ต. -ร.ต.อ. ซึ่งมีเงินค่าชำนาญการ หรือเงินประจำ 1.2 หมื่นบาท พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ หรือเทียบเท่าสารวัตร 1.5 หมื่นบาท พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญพิเศษ เทียบเท่า รองผกก. 1.7 หมื่นบาท และพนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ เทียบเท่า ผกก. 2 หมื่นบาท ถูกตัดไปจนหมดสิ้น เป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว แต่การร่างระเบียบรองรับกติกาใหม่ยังไม่เรียบร้อย ตำรวจในสายสอบสวนจึงขาดรายได้ที่เคยมีคนละหมื่น -สองหมื่น ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยในภาวการณ์แบบนี้

จึงกลับมายังต้นเรื่องที่สารวัตรสอบสวน คนที่กำลังตกเป็นข่าวทำร้ายเมีย เพราะปัญหาเศรษฐกิจมันรุมเร้าทำให้แก้ปัญหาไม่ตกนั้น ยังมีข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อด้วยว่า สภ.สมุทรสาคร อันเป็นพื้นที่ เกรดเอ ติดอันดับท็อปเท็นของประเทศไทย ยังทำไมเงินเพียงหมื่นเดียว ถึงเกิดเรื่องราวจนเสียอนาคต 

กลับมาค้นความจริงอีกว่า ปกติทุกโรงพักของประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท้องที่อุดมด้วยผลประโยชน์ ตำรวจจะแบ่งเป็น 2 เกรด คือ ตำรวจมีรายได้พิเศษ กับไม่มีรายได้พิเศษ จนบางคนบอกว่ามี “ตำรวจจน กับตำรวจรวย”

ตำรวจจน หมายถึงพวกไม่มีรายได้ทางอื่นเลย (ตบ ตี รีด ไถ ใช้อำนาจหน้าที่) เช่น สิบเวร เสมียนเวร ร้อยเวร อะไรประมาณนี้ และยังหมายรวมถึงกลุ่มพนักงานสอบสวนอีกด้วย ส่วนตำรวจฐานะดี มีเมียสวย ครอบครัวอบอุ่น คือ สายสืบสวน และสายปราบปราม

เพราะอำนาจหน้าที่กำหนดให้เขาจัดการกับสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด บ่อนพนัน ซ่องโสเณี โต๊ะบอล สถานบริการ หวยเถื่อน หรือแม้กระสั่งส่วยเงินกู้ ล้วนแต่เป็นรายได้นอกระบบที่หมุนเวียน รับกันทั้งเจ้านาย-ลูกน้อง ว่ากันว่าเฉพาะ สภ.สมุทรสาคร อันเป็นพื้นที่พิเศษ มีต่างด้าวเข้ามาอยู่หลายแสนคนนั้น มี“ไอ้โม่ง”สีกากี เก็บรวบรวมส่วยได้มากถึงเดือนละ 30 ล้านบาท
 
ส่วยจำนวนมหาศาลนี้ ท่านคิดว่าใครจะมีส่วนได้-เสีย... ก็บรรดาตำรวจ เกรด 1 หรือตำรวจสายสืบสวน-ปราบปราม และ บรรดาเจ้านาย (บางคน) ผู้มีอำนาจหน้าที่...ไล่มาตั้งแต่หัวจรดหาง

ความเป็นจริงแบบนี้ จึงเป็นที่มาของความล้มเหลวทั้งในการบังคับใช้กฎหมาย และขวัญกำลังใจของตำรวจ“เกรด 2” ซึ่งเหมือนเบ๊ เหมือนภารโรงประจำสถานีกัดกร่อน-กินใจกันมาหลายชั่วคน จะปฏิรูป ปรับโครงสร้างกันกี่ครั้ง ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม คือ ไม่มีอะไรดีขึ้น คุณภาพชีวิต และงานของตำรวจก็แย่ลงๆ ทั้งละเลยต่อหน้าที่ เข้าเกียร์ว่าง และอาศัยอำนาจหน้าที่ไปก่อเรื่องทุจริต 

ที่ยกเรื่องสารวัตร ท้องที่ เกรด เอ. ทำร้ายเมียจนต้องถูกดำเนินคดี สภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ตอนนี้ท่านคิดว่าเป็นเพราะความบกพร่องของหัวหน้าครอบครัวเพียงประการเดียว ใช่หรือไม่ ท่านคิดว่าระบบราชการ-ความคิด ของผู้มีอำนาจจนทำให้พวกเขาต้องชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งใช่หรือไม่

วันนี้ ความจริงที่ปรากฏอยู่คือ ตำรวจที่ได้ชื่อว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และผู้อำนวยความยุติธรรม แต่กำลังค่อยๆ หมดสภาพเพราะเงินทองชักหน้าไม่ถึงหลัง แล้วจะมีหน้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับใครได้

เหมือนกับคนรับเรื่องราวร้องทุกข์ หากตัวเองยังขี้เต็มกางเกง ยังมีแต่ปัญหาโดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจในครัวเรือน นอกจากบรรเทาเบาบางปัญหาให้กับใครไม่ได้ เผลอๆ อาจจะสติแตก มีปัญหากับชาวบ้านที่เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็นก็เป็นได้ 

สำคัญที่สุด หวังว่าผู้บังคับบัญชาของสารวัตรซ้อมเมีย คงไม่นิ่งนอนใจปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมเวรที่ใครก่อก็ต้องรับ เพราะตอนนี้เชื่อเหลือเกินว่า สภาพจิตใจของเขาต้องย่ำแย่ เป็นปัญหาหนักหนาสาหัสซ้อนขึ้นมาอีก อย่าปล่อยให้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็นอันขาด !! ??


กำลังโหลดความคิดเห็น