นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบกับราคาขายปลีกสินค้า ว่า ร่างดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาปีกว่าแล้ว และไปติดอยู่ที่ขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา อีกปีกว่า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์นี้ และเมื่อเสร็จแล้ว จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่วนจะสามารถผ่านออกมาเป็นกฎหมายได้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณนี้หรือไม่ อยู่ที่การพิจารณาของสนช. ว่าจะเร่งได้เร็วขนาดไหน
ส่วนฐานภาษีใหม่ที่จะนำมาคิด เป็นราคาขายปลีกที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาหน้าโรงงาน จะทำให้สินค้าที่เข้าข่ายในการเสียภาษีนี้ มีราคาแพงขึ้นหรือไม่นั้น นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ราคาขายปลีกขั้นสุดท้ายที่จะเอามาใช้เป็นฐาน หากสูงแล้วทำให้ภาษีมากขึ้น จะมีการลดอัตราลง ก็จะทำให้จำนวนเงินที่ต้องเสียนั้นเท่าเดิม ซึ่งในส่วนนี้จะไม่มีผลกระทบกับภาคธุรกิจและผู้บริโภคแต่อย่างใด ยกเว้นคนที่หนีภาษีอยู่ จะกระทบในเรื่องการเสียภาษีตรงนี้ อย่างไรก็ตามในส่วนของภาคธุรกิจ เราได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอยืนยันว่า การปรับแก้กฎหมายดังกล่าวจะไม่กระทบกับภาคธุรกิจ และผู้บริโภคอย่างแน่นอน
ด้านนางมัลลิกา ภูมิวาร จากโบลลิงเกอร์ แอนด์ คัมพานี คอนซัลติ้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านศุลกากร และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ กล่างว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่เห็นผู้กำหนดนโยบายหันกลับมาให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายที่จะปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตทั้งระบบ ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวก และสร้างเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในประเทศและผู้นำเข้า โดยข้อดีจากการคิดฐานภาษีบนราคาขายปลีกนั้นคือ ความเรียบง่าย ลดขั้นตอนความซับซ้อนของสูตรการคิดฐานภาษีดังที่ระบบของประเทศไทยได้เผชิญมาเพราะราคาขายปลีกเป็นราคาที่ผู้ประกอบการแนะนำให้เหมาะกับโครงสร้างธุรกิจของตนและเป็นราคาที่เปิดเผย อีกทั้งจะช่วยในการลดข้อพิพาทข้อถกเถียงระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลในเรื่องการสำแดงราคาต่ำ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ที่ควรจะจัดเก็บได้ นางมัลลิกายังกล่าวเสริมว่า การปฏิรูปครั้งนี้ยังจะช่วยเพิ่มฐานการจัดเก็บรายได้ให้กว้างขึ้นโดยยังคงอยู่บนหลักการรายได้คงเดิม หมายความว่า จัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นแต่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภค สิ่งที่ภาคเอกชนจับตาดูก็คือ ต้องลุ้นว่ากฎหมายปฏิรูปเศรษฐกิจที่สำคัญฉบับนี้จะออกมาทันใช้ภายในสิ้นปีนี้หรือไม่
ส่วนฐานภาษีใหม่ที่จะนำมาคิด เป็นราคาขายปลีกที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาหน้าโรงงาน จะทำให้สินค้าที่เข้าข่ายในการเสียภาษีนี้ มีราคาแพงขึ้นหรือไม่นั้น นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ราคาขายปลีกขั้นสุดท้ายที่จะเอามาใช้เป็นฐาน หากสูงแล้วทำให้ภาษีมากขึ้น จะมีการลดอัตราลง ก็จะทำให้จำนวนเงินที่ต้องเสียนั้นเท่าเดิม ซึ่งในส่วนนี้จะไม่มีผลกระทบกับภาคธุรกิจและผู้บริโภคแต่อย่างใด ยกเว้นคนที่หนีภาษีอยู่ จะกระทบในเรื่องการเสียภาษีตรงนี้ อย่างไรก็ตามในส่วนของภาคธุรกิจ เราได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอยืนยันว่า การปรับแก้กฎหมายดังกล่าวจะไม่กระทบกับภาคธุรกิจ และผู้บริโภคอย่างแน่นอน
ด้านนางมัลลิกา ภูมิวาร จากโบลลิงเกอร์ แอนด์ คัมพานี คอนซัลติ้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านศุลกากร และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ กล่างว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่เห็นผู้กำหนดนโยบายหันกลับมาให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายที่จะปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตทั้งระบบ ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวก และสร้างเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในประเทศและผู้นำเข้า โดยข้อดีจากการคิดฐานภาษีบนราคาขายปลีกนั้นคือ ความเรียบง่าย ลดขั้นตอนความซับซ้อนของสูตรการคิดฐานภาษีดังที่ระบบของประเทศไทยได้เผชิญมาเพราะราคาขายปลีกเป็นราคาที่ผู้ประกอบการแนะนำให้เหมาะกับโครงสร้างธุรกิจของตนและเป็นราคาที่เปิดเผย อีกทั้งจะช่วยในการลดข้อพิพาทข้อถกเถียงระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลในเรื่องการสำแดงราคาต่ำ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ที่ควรจะจัดเก็บได้ นางมัลลิกายังกล่าวเสริมว่า การปฏิรูปครั้งนี้ยังจะช่วยเพิ่มฐานการจัดเก็บรายได้ให้กว้างขึ้นโดยยังคงอยู่บนหลักการรายได้คงเดิม หมายความว่า จัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นแต่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภค สิ่งที่ภาคเอกชนจับตาดูก็คือ ต้องลุ้นว่ากฎหมายปฏิรูปเศรษฐกิจที่สำคัญฉบับนี้จะออกมาทันใช้ภายในสิ้นปีนี้หรือไม่