โรงรับจำนำของรัฐหรือ สธค. ยอมรับแนวโน้มธุรกิจโรงรับจำนำแผ่ว-ช่องทางกู้เงินหลากหลายขึ้นเดินหน้าขยายธุรกิจเปิดช่องทางการขายออนไลน์ เจาะลูกค้าต่างจังหวัดและเพิ่มจำนำสินค้าแบรนด์เนม ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิ 312 ล้านบาทในปีงบประมาณ59 เผยกำลังแก้ไขวงเงินตั๋วจำนำเพิ่มเป็น 5 แสนบาทต่อรายการต่อวัน
นายมานะ เกลี้ยงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ เปิดเผยว่า สธค.ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิ 312 ล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ 59 ขณะที่มูลค่าทรัพย์จำนำเติบโต 3% หรือเพิ่มขึ้น 520 ล้านบาทปีงบประมาณ 59 เทียบกับปี 58 พร้อมขยายประเภทสินค้ารับจำนำ โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมไม่ว่าจะเปิดนาฬิกาข้อมือ กระเป๋ายี่ห้อดังๆมากขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสเปิดสาขาต่างจังหวัดและเปิดขายสินค้าหลุดจำนำผ่านออนไลน์ในช่วงเปิดเดือน ก.ย.นี้ผ่านบัตรเครดิตของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ลูกค้ารายย่อยมีโอกาสได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินหลุดจำนำง่ายขึ้น
ในปีนี้แนวโน้มรับจำนำเพิ่มขึ้นในอัตราไม่สูงนัก ส่วนหนึ่งมีหลายช่องทางกู้ยืมเงินได้ง่ายในปัจจุบัน โดยเฉพาะสินเชื่อของรัฐที่ไม่ต้องพึ่งหลักประกัน เช่น สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ นอกจากนี้การไถ่ถอนทรัพย์จำนำมากขึ้น ซึ่งทรัพย์รับจำนำเป็นรูปพรรณถึง 97% เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นมีการไถ่ถอนนำไปขายมากกว่า จึงส่งผลให้ช่วงครึ่งแรกของปี 59 มีการเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณลูกค้าใช้บริการจำนำและการไถ่ถอน แต่มีการส่งดอกน้อยลง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 59 สธค.มีมูลค่าทรัพย์รับจำนำทั้งสิ้น 5,210 ล้านบาท หรือมีผู้ใช้บริการ 367,861 ราย
นอกจากนี้ กำลังอยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายขยายวงเงินตั๋วรับจำนำจากปัจจุบันรายการละไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มเป็น 500,000 บาทต่อวัน ทำให้เมื่อรวมตั๋วทุกรายการแล้วมากกว่า 500,000 บาทต่อหนึ่งรายต่อหนึ่งวัน เพื่อรองรับราคาทรัพย์สินปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งเปิดช่องทางรับจำนำสินค้าแบรนด์เนมด้วย ส่วนการขยายสาขาต่างจังหวัดมองว่าเป็นตลาดที่ดี ซึ่งประชาชนต่างจังหวัดคุ้นเคยบริการโรงรับจำนำมากอย่างสาขาแรกที่จ.ระยองทำยอดจำนำค่อนข้างสูง จึงเตรียมจะเปิดเพิ่มจ.ลำพูนในเดือนก.ย.นี้ และช่วงกลางปี 60 จะเปิดสุราษฎร์ธานีและอุดรธานี ในอนาคตนครสวรรค์และพิษณุโลกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทุกปีปัญหาคนไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ถือว่าน่าเป็นห่วง สธค.พยายามคิดอัตราดอกเบี้ยไม่แพงเทียบกับโรงรับทั่วไป เพื่อเป็นที่พึ่งยามประชาชนนำเงินหมุนเวียนก่อนได้ ส่วนฐานะของสธค.ไม่น่าห่วง เพราะโรงรับจำนำรัฐไม่ได้มีวัตถุประสงค์ปล่อยกู้ อีกทั้งยังมีทรัพย์เป็นหลักประกัน โดยแต่ละเดือนมีเงินหมุนเวียนจากการไถ่ถอนและส่งดอกเบี้ยประมาณ 500-600 ล้านบาท ยกเว้นช่วงเทศกาลหรือช่วงเปิดภาคการศึกษาจะมีเงินหมุนเวียนมากกว่านี้ ซึ่งสธค.มีการสำรองเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องเพิ่มประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการผู้ใช้บริการ
กลุ่มอาชีพที่มาจำนำทรัพย์เป็นกลุ่มอาชีพรับจ้างถึง 85% รองลงมาเป็นอาชีพพ่อบ้าน แม่บ้าน 8% อาชีพค้าขาย 4% ที่เหลือจะเป็นอาชีพข้าราชการ นิสิตนักศึกษา เกษตรกร และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้าและทรัพย์สินยังเป็นกลุ่มเดิมหมุนเวียนมาใช้บริการ แต่เปลี่ยนไปให้คนรุ่นใหม่อย่างลูกหลานที่มีความรู้มาดำเนินการแทน
นายมานะ เกลี้ยงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ เปิดเผยว่า สธค.ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิ 312 ล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ 59 ขณะที่มูลค่าทรัพย์จำนำเติบโต 3% หรือเพิ่มขึ้น 520 ล้านบาทปีงบประมาณ 59 เทียบกับปี 58 พร้อมขยายประเภทสินค้ารับจำนำ โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมไม่ว่าจะเปิดนาฬิกาข้อมือ กระเป๋ายี่ห้อดังๆมากขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสเปิดสาขาต่างจังหวัดและเปิดขายสินค้าหลุดจำนำผ่านออนไลน์ในช่วงเปิดเดือน ก.ย.นี้ผ่านบัตรเครดิตของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ลูกค้ารายย่อยมีโอกาสได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินหลุดจำนำง่ายขึ้น
ในปีนี้แนวโน้มรับจำนำเพิ่มขึ้นในอัตราไม่สูงนัก ส่วนหนึ่งมีหลายช่องทางกู้ยืมเงินได้ง่ายในปัจจุบัน โดยเฉพาะสินเชื่อของรัฐที่ไม่ต้องพึ่งหลักประกัน เช่น สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ นอกจากนี้การไถ่ถอนทรัพย์จำนำมากขึ้น ซึ่งทรัพย์รับจำนำเป็นรูปพรรณถึง 97% เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นมีการไถ่ถอนนำไปขายมากกว่า จึงส่งผลให้ช่วงครึ่งแรกของปี 59 มีการเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณลูกค้าใช้บริการจำนำและการไถ่ถอน แต่มีการส่งดอกน้อยลง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 59 สธค.มีมูลค่าทรัพย์รับจำนำทั้งสิ้น 5,210 ล้านบาท หรือมีผู้ใช้บริการ 367,861 ราย
นอกจากนี้ กำลังอยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายขยายวงเงินตั๋วรับจำนำจากปัจจุบันรายการละไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มเป็น 500,000 บาทต่อวัน ทำให้เมื่อรวมตั๋วทุกรายการแล้วมากกว่า 500,000 บาทต่อหนึ่งรายต่อหนึ่งวัน เพื่อรองรับราคาทรัพย์สินปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งเปิดช่องทางรับจำนำสินค้าแบรนด์เนมด้วย ส่วนการขยายสาขาต่างจังหวัดมองว่าเป็นตลาดที่ดี ซึ่งประชาชนต่างจังหวัดคุ้นเคยบริการโรงรับจำนำมากอย่างสาขาแรกที่จ.ระยองทำยอดจำนำค่อนข้างสูง จึงเตรียมจะเปิดเพิ่มจ.ลำพูนในเดือนก.ย.นี้ และช่วงกลางปี 60 จะเปิดสุราษฎร์ธานีและอุดรธานี ในอนาคตนครสวรรค์และพิษณุโลกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทุกปีปัญหาคนไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ถือว่าน่าเป็นห่วง สธค.พยายามคิดอัตราดอกเบี้ยไม่แพงเทียบกับโรงรับทั่วไป เพื่อเป็นที่พึ่งยามประชาชนนำเงินหมุนเวียนก่อนได้ ส่วนฐานะของสธค.ไม่น่าห่วง เพราะโรงรับจำนำรัฐไม่ได้มีวัตถุประสงค์ปล่อยกู้ อีกทั้งยังมีทรัพย์เป็นหลักประกัน โดยแต่ละเดือนมีเงินหมุนเวียนจากการไถ่ถอนและส่งดอกเบี้ยประมาณ 500-600 ล้านบาท ยกเว้นช่วงเทศกาลหรือช่วงเปิดภาคการศึกษาจะมีเงินหมุนเวียนมากกว่านี้ ซึ่งสธค.มีการสำรองเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องเพิ่มประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการผู้ใช้บริการ
กลุ่มอาชีพที่มาจำนำทรัพย์เป็นกลุ่มอาชีพรับจ้างถึง 85% รองลงมาเป็นอาชีพพ่อบ้าน แม่บ้าน 8% อาชีพค้าขาย 4% ที่เหลือจะเป็นอาชีพข้าราชการ นิสิตนักศึกษา เกษตรกร และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้าและทรัพย์สินยังเป็นกลุ่มเดิมหมุนเวียนมาใช้บริการ แต่เปลี่ยนไปให้คนรุ่นใหม่อย่างลูกหลานที่มีความรู้มาดำเนินการแทน